กลิ่นหอมของพระคริสต์


“ก้าวข้าม”

การเดินทางของชีวิตคริสเตียนนั้นเหมือนการเดินบนสะพานแห่งชีวิต มีระยะทางที่ยาวไกล มีหลายสิ่งที่เราต้องประสบพบเจอ แล้วเราจะก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร ?


  ก้าวข้าม อุปสรรค
  ก้าวข้าม ปัญหา
  ก้าวข้าม ความกลัว
ซึ่งเป็นตัวถ่วง และรั้งเราไม่ให้ไปถึงแผ่นดินของพระเจ้า เราจะก้าวและข้ามสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต่อเมื่อเราเข้ามาเรียนรู้ทางของพระเยซู และเดินตามพระเยซู เพราะพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของผู้เชื่อ ให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ในชีวิตเรา ให้การปกครองของพระเจ้ามาตั้งอยู่ในชีวิตเรา พระองค์ทรงปรารถนาให้ชีวิตของเราได้ฉายแสงเพื่อสะท้อนพระสิริของพระองค์ มีชีวิตที่เป็นพรต่อผู้อื่น และพระเจ้าได้รับเกียรติ และให้ผู้คนได้เห็นว่าเราเป็นคริสเตียนที่ดี เป็นคนดี พระองค์ทรงปรารถนาให้คนรอบข้างเรา ได้รู้จักพระองค์ผ่านชีวิตของเรา ดังคำกล่าวที่ว่า "เสียงของชีวิต ดังกว่าเสียงคำพูด" และ... ชีวิตที่ดำเนินกับพระเจ้า หลายครั้งก็ย่อมมีอุปสรรค แต่ให้เราก้าวข้ามสิ่งกีดขวางนั้น โดยพึ่งพาพระเจ้าในพระธรรมสดุดี 18:29-30 ตรัสว่า “พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ตะลุยกองทัพได้โดยพระองค์ และโดยพระเจ้าของข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้าสามารถกระโดดข้ามกำแพงได้ สำหรับพระเจ้าพระองค์นี้ พระมรรคาของพระองค์บริบูรณ์” 
 
โลกนี้เป็นสมรภูมิสงครามฝ่ายวิญญาณ ให้เราเอาชนะอุปสรรคที่ขัดขวางเราด้วยการถวายเกียรติพระเจ้าด้วยความคิด คำพูด การกระทำของเรา และจงขยายอาณาจักรของพระเจ้าออกไป "อย่าเล่นกับบาป บาปไม่ใช่ของเล่น แต่เป็นสิ่งที่เราต้องต่อสู้" เราต้องตีกรอบความคิด จิตใจ ศีลธรรมของตัวเรา เนื้อหนังเป็นสนิมที่อยู่ข้างในชีวิตเรา จะทำลายชีวิต ทำให้เราไม่สามารถก้าวไปได้ อุปสรรค ทำให้เราเติบโตเข็มแข็ง ยึดพระเยซูเป็นหลักไว้ พระองค์ทรงให้คำมั่นสัญญาไว้กับเราว่า “เราจะอยู่กับท่านเสมอไป” และจงอธิษฐานต่อพระองค์ “เพราะเราเผชิญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง” (ฟิลิปปี4:13)
 
วันนี้ ขอให้มั่นใจว่า เราจะ....
  ก้าวข้าม อุปสรรคได้ ด้วยความพยายามและพัฒนาตนเองไปกับพระเจ้า เดินกับพระองค์
  ก้าวข้าม ปัญหาได้ ด้วยการแก้ไข ปัญหาเป็นบทเรียนที่เสริมสร้างการเติบโต เผชิญหน้าได้โดยพระเจ้าผู้เสริมกำลังเรา
  ก้าวข้าม ความกลัวได้ ด้วยการเปลี่ยนให้เป็นความกล้า 
และเราจะ ...
ไม่กังวล เพราะพระเจ้ารักเรา
ไม่อ่อนเปลี้ย เพราะพระเจ้ายึดเราไว้ 
ไม่กลัว เพราะพระเจ้าคุ้มครองเรา
 
ทุก ๆ ความทุกข์ยาก ล้วนแล้วทำให้เราอดทนและเข้มแข็ง เติบโตขึ้นในฝ่ายวิญญาณ ช่วยให้เราข้ามสะพานชีวิตจนไปถึงหลักชัยที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ สำหรับผู้เชื่อทุกคนได้ มีสิ่งใดที่เรายังขาดอยู่ จงทูลขอสิ่งนั้นจากพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเตรียมที่จะเทพระพรลงมาเหนือชีวิตของเราผู้เชื่อทุกคน “ถ้าท่านเข้าสนิทในเราและเราเข้าสนิทในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น” (ยอห์น 15:7)
 
ขอพระเจ้าอวยพรในการ “ก้าวข้าม”
ศุภวรรณ ณ หนองคาย

รูปเคารพที่ไม่เปิดเผย

“บุตรมนุษย์เอ๋ย คนพวกนี้ตั้งรูปเคารพของเขาไว้ในใจ และวางสิ่งสะดุดให้ล้มลงในบาปไว้ข้างหน้าเขา เราควรจะยอมให้พวกเขาถามเราหรือ? เอเสเคียล 14:3

คนส่วนใหญ่เมื่อพูดถึง "รูปเคารพ" มักจะนึกถึงรูปปั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในวิหารหรือตามสถานที่ลึกลับที่มือมนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อให้ตามองเห็นได้ แต่แท้จริงแล้วรูปเคารพที่สายตามองไม่เห็นก็ได้เกิดขึ้นภายในจิตใจของมนุษย์ด้วยเช่นกัน

ในเอเสเคียล 14:3 พระเจ้าตรัสถึงผู้อาวุโสของอิสราเอลว่า "คนพวกนี้ตั้งรูปเคารพของเขาไว้ในใจ" เช่นเดียวกับพวกเรา บรรดาผู้อาวุโสคงตอบสนองต่อข้อกล่าวหานี้ว่า "รูปเคารพหรือรูปเคารพอะไรกัน ฉันไม่เห็นมีเลย!?" พระเจ้าทรงกำลังบอกว่าหัวใจของมนุษย์ได้นำเอา อาชีพการงาน ความสำเร็จ ชื่อเสียงเงินทอง ทรัพย์สินด้านวัตถุหรือแม้กระทั่งครอบครัว มาเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด หัวใจของเรากำลังยกย่องสิ่งเหล่านี้ให้เป็นศูนย์กลางของชีวิต

พระบัญญัติข้อแรก "เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า... ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา"(อพยพ 20:3) ซึ่งนำไปสู่คำถามที่ว่า 'พระเจ้าอื่นใดนั้นหมายความว่าอย่างไร?' คำตอบมาทันทีว่า “ห้ามทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน ห้ามกราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น..." (อพยพ 20:4-5) ซึ่งครอบคลุมทุกอย่างในโลก!

สิ่งใดก็ตามที่เราให้ความสำคัญมาก ที่ดึงดูดหัวใจและความคิด ที่เป็นจุดศูนย์กลางของชีวิต ที่เราขาดมันไม่ได้ หากไม่มีสิ่งนี้เราจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ไม่ปลอดภัย ไม่มั่นคง ไม่เหมือนคนอื่น สิ่งนี้คือรูปเคารพที่ไม่เปิดเผย มันคือแรงผลักดันให้เราทำลายกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่เราเคยยกย่อง ทำร้ายคนอื่นหรือแม้กระทั่งตนเองเพื่อให้ได้มันมา

"จงเอาใจใส่สิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งที่อยู่บนแผ่นดินโลก" โคโลสี 3:2

อ.เปาโลเตือนให้เราเอาใจใส่สิ่งที่อยู่เบื้องบน เพราะสิ่งนั้นคือแหล่งชีวิตที่แท้จริงที่มาจากพระเจ้าเที่ยงแท้และไม่ผันแปร บางครั้งเราอาจจะต้องค้นลึกลงไปยังก้นบึ้งหัวใจเราจริง ๆ แล้วตอบคำถามให้ได้ว่า นอกเหนือจากพระเยซูคริสต์มีสิ่งใดหรือใครที่ได้ยึดความไว้วางใจ ความจดจ่อ ความภักดี การรับใช้ ความหวาดกลัวและความยินดีในหัวใจของเราเอาไว้หรือไม่ เพราะหากเป็นเช่นนั้นเรากำลังมีรูปเคารพที่ไม่เปิดเผย ค่อย ๆ ก่อรูปขึ้นในหัวใจ หากเราไม่รีบกำจัด ยิ่งนานมันก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นบดบังพระคุณและความรักอันแท้จริงของพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ ขออย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย!

เพราะว่าเขาได้เอาความจริงเรื่องพระเจ้ามาแลกกับความเท็จ ทั้งนมัสการและปรนนิบัติสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น แทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้ซึ่งควรจะได้รับการสรรเสริญเป็นนิตย์ อาเมน
โรม 1:25

ขอพระเจ้าเมตตา
ผป. ปริญญา ศฤงฆารนันท์

ใช้อะไรวัดการเติบโต?

เพราะฉะนั้นคนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงโปรดให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ - 1 โครินธ์ 3:7

หลายปีที่ผ่านมาผนังข้างประตูที่ห้องนอน ฉันจะใช้วัดความสูงของลูกสาวทุกๆ 2 เดือนเพื่อบอกให้ลูกรู้ว่า เขาได้เติบโตสูงขึ้นแค่ไหนแล้ว แต่ ณ เวลานี้ฉันไม่ได้ใช้ผนังนั้นอีกเลยเพราะตอนนี้ลูกสาววัย 13 ขวบได้สูงเลยฉันไปแล้ว เมื่อฉันมองดูรอยดินสอที่ขีดเป็นขั้นๆและวันเดือนปีที่เขียนบันทึกไว้ ทำให้ต้องกลับมาถามตัวเองเช่นกันว่า ฉันเติบโตขึ้นในพระคริสต์หรือไม่? แล้วอะไรที่จะวัดความเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณได้?

การเติบโตฝ่ายวิญญาณก็เป็นเช่นเดียวกับฝ่ายร่างกาย คือ เกิดขึ้นช้าๆ และใช้เวลา เป็นกระบวนการที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องไปสู่การเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น และเกิดขึ้นเมื่อเรารับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ การเติบโตขึ้นทางร่างกาย สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจน แต่การจำเริญด้านจิตวิญญาณจะมองเห็นได้ก็ด้วยความพฤติกรรมการแสดงออกของผู้เชื่อ เพราะไม่ว่าเราจะเรียนจบพระคริสตธรรม อ่านพระคัมภีร์ร้อยรอบ ไม่เคยขาดโบสถ์ เข้าร่วมทุกกิจกรรม ทำทุกพันธกิจ เป็นมิตรกับทุกคน สามัคคีธรรมกับทุกกลุ่ม อธิษฐานทุกลมหายใจ ถวายทรัพย์สม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นตัววัดความเติบโตของเราเลยหากเรายังไม่มีผลของพระวิญญาณ

ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย -กาลาเทีย 5:22-23

ในผู้เชื่อจําเป็นต้องมีการเติบโต ต้องเปลี่ยนแปลง ต้องพัฒนาชีวิต การเติบโตนี้ไม่ได้เน้นเพียงเรื่องความรู้ ความเชื่อหรือการอุทิศชีวิตเพื่อพระเจ้า แต่เป็นเรื่องของคุณลักษณะชีวิตที่ดีและได้สำแดงออกมาเป็นที่ประจักษในสายตาของผู้อื่น ให้เขาได้มองเห็นพระเยซูคริสต์ผ่านการดำเนินชีวิต เราอาจพยายามเปลี่ยนแปลงเพราะเราอยากถวายเกียรติพระเจ้า บางครั้งก็สำเร็จ แต่บางครั้งก็ล้มเหลว ดูเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลง จนเราท้อแท้ เราอาจมองว่าความไม่คืบหน้าคือความล้มเหลวแต่ในความเป็นจริง เรากำลังพัฒนาไปอย่างช้าๆ การจำเริญขึ้นในพระคริสต์เป็นผลของการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทำงานอยู่ในเรา บวกกับความต้องการของเราที่จะติดสนิทกับพระเจ้าผ่านทางการศึกษาพระคำ การอธิษฐาน และการสามัคคีธรรมกับคริสเตียนคนอื่น

ดังนั้นการเติบโตในพระคริสต์จะไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน นิสัยที่ไม่ดีก็จะไม่อาจหายไปชั่วข้ามวันได้ แต่การเติบโตจะมาในเวลาของพระเจ้าที่จะเกิดขึ้นเมื่อเรายอมจำนนต่อพระองค์อย่างแท้จริง แล้วคนที่อยู่ข้างๆจะบอกได้ว่าเราเติบโตเมื่อเขาเห็นพระเยซูคริสต์ในเรา

ขอพระเจ้าอวยพร
ณ โมริยาห์


แม่ผู้สนับสนุนลูกในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า


นางก็ปฏิญาณไว้​ว่า “​โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์จอมโยธา ถ้าพระองค์จะทอดพระเนตรความทุกข์ใจของหญิงผู้​รับใช้​ของพระองค์​จริงๆ และยังระลึกถึงข้าพระองค์ และยังไม่ลืมหญิงผู้​รับใช้​ของพระองค์ แต่​จะทรงประทานบุตรชายแก่หญิงผู้​รับใช้​ของพระองค์สักคนหนึ่งแล้ว ข้าพระองค์จะถวายเขาไว้​แด่​พระเยโฮวาห์ตลอดชีวิตของเขา และมีดโกนจะไม่แตะต้องศีรษะของเขาเลย” -1 ซามูเอล 1:11

ฮันนาเป็นหมันนางจึงอธิษฐานวิงวอนขอลูกจากพระเจ้าโดยนางสัญญาว่าเมื่อคลอดลูกแล้วนางจะถวายลูกให้เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ตลอดชีวิต เมื่อฮันนาได้ลูก คือซามูเอล ทั้งๆที่นางรอคอยมาอย่างยาวนาน แต่เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าตอบคำอธิษฐาน นางก็ยอมยกลูกซึ่งเป็นดั่งแก้วตาดวงใจออกจากอกนางให้เข้าไปรับใช้พระองค์ตั้งแต่ยังเยาว์วัยในพลับพลาอันศักดิ์สิทธิ์ โดยไม่เห็นแก่ความปรารถนาของตัวเองที่อยากจะอยู่กับลูก แต่นางมุ่งไปที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแทนความต้องการของตัวเอง โดยให้พระองค์เป็นที่หนึ่งในชีวิตด้วยความรักและความยำเกรงอย่างมั่นคง

ฮันนา แม่ที่เชื่อมั่นในพระเจ้า มอบความไว้วางใจกับพระเจ้า อธิษฐานรอคอยคำตอบจากพระองค์ด้วยความอดทนและมั่นคงในคำสัญญา โดยมีความตั้งใจให้ลูกรับใช้องค์พระผู้เป็นพระเจ้าแทนการรับใช้วัตถุรอบตัวทางโลกที่ล่อลวงไร้ประโยชน์

จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเติบใหญ่เขาจะไม่พรากจากทางนั้น - สุภาษิต 22:8

ซามูเอลจึงมีชีวิตในวัยเด็กแตกต่างจากคนอื่น แทนที่เขาจะเติบโตมาภายในบ้านเหมือนเด็กทั่วไป แต่เขาเติบโตมากับการรับใช้ในพลับพลาอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า โดยมีความเชื่อและรับใช้พระเจ้าตั้งแต่วัยเด็ก จนกระทั่งเขาเป็นผู้ใหญ่ได้เป็นผู้เผยพระวจนะ เป็นศาสดาพยากรณ์และผู้วินิจฉัยคนสำคัญของอิสราเอลโดยไม่มีประวัติด่างพล้อยเพราะนางฮันนาแม่ของเขาที่สนุบสนุนลูกในทางของพระเจ้าตั้งแต่เยาว์วัย

เมื่อฉันได้พบกับความรักขององค์พระผู้เป็นเจ้า ได้อ่านศึกษาพระคัมภีร์ ก็ยิ่งยำเกรงและวางใจในองค์ผู้ทรงประทานพระบุตรอันเป็นที่รักองค์เดียวของพระองค์ลงมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากความพินาศ ในฐานะที่เป็นแม่คนหนึ่งไม่ว่าลูกจะเติบโตแล้วก็ตามแต่ก็อดที่จะกังวลห่วงใยพวกเขาไม่ได้ แต่ฉันก็วางใจในพระวจนะของพระองค์

อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่​จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุ​ณ -ฟิลิปปี 4:6

แม้ว่าฉันจะไม่ได้อธิษฐานถวายบุตรแก่พระเจ้าอย่างนางฮันนาแต่ฉันก็เชื่อมั่นและวางใจว่าพระองค์จะดูแลปกป้องครอบครัวของฉันเสมอ เพราะพระองค์คือคำตอบแห่งคำถามและการวิงวอนร้องทูลขอด้วยการอธิษฐานที่มาจากใจอย่างแท้จริง

สรรเสริญพระเจ้า
วลัยพรรณ ลิทเธอร์


อีสเตอร์ที่แท้จริง


วันอีสเตอร์ คือ วันสำคัญของชาวคริสต์ทั่วโลก โดยเป็นวันเฉลิมฉลองการที่พระเยซูคริสต์ทรงคืนพระชนม์ ซึ่งตามพระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของมนุษย์ในวันศุกร์ ที่เรียกกันว่า "Good Friday" และต่อมาอีก 3 วัน พระองค์ทรงคืนพระชนม์ชีพอีกครั้งในวันอาทิตย์ ซึ่งก็คือวันอีสเตอร์ หรือ "Easter Sunday"

วันอีสเตอร์ (ภาษาอังกฤษ: Easter) เกิดขึ้นหลังเทศกาลมหาพรต (Lent) ที่ชาวคริสต์ถือศีลอด อธิษฐาน บริจาคสิ่งของ และดำเนินชีวิตโดยไม่ฟุ่มเฟือย เป็นระยะเวลา 40 วัน เพื่อระลึกถึงพระมหาทรมานของพระเยซู (The Passion of Christ)
วันอีสเตอร์ คือหนึ่งในวันที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวคริสต์ เนื่องจากการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู (Resurrection of Jesus) คือรากฐานสำคัญของความเชื่อของคริสเตียน

การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูนั้นถือเป็นการตอกย้ำความศรัทธาในคำสอนที่พระองค์ได้เผยแพร่ เพราะหากพระองค์ไม่ฟื้นคืนพระชนม์ ผู้คนอาจเห็นว่าพระองค์ไม่ต่างจากบุคคลธรรมดาหรือศาสดาที่เผยแพร่คำสอนทั่วไป การฟื้นคืนพระชนม์จึงเปรียบดั่งข้อพิสูจน์ว่าพระเยซูคือบุตรของพระเจ้า ชาวคริสต์ยังเชื่อว่าการเสียสละของพระเยซูถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานอันศักดิ์สิทธิ์ ในการไถ่โทษบาปของมนุษย์ (Atonement) เพื่อคืนความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าและมนุษย์อีกครั้ง

วันอีสเตอร์ (Easter Sunday) แต่ละปีจะแตกต่างกันออกไป โดยจะอยู่ในช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงเมษายน ในปัจจุบัน คริสต์นิกายต่าง ๆ ได้เห็นตรงกันว่าให้ถือเอาวันอาทิตย์แรกหลังจากวันที่ 21 มีนาคม (Spring Equinox) ที่พระจันทร์เต็มดวง ซึ่งหมายความว่า วันอีสเตอร์ หรือ Easter Sunday ในแต่ละปีจะไม่ตรงกัน โดยจะอยู่ในช่วงระหว่างวันที่ 22 มีนาคม ถึง 25 เมษายน

ดังนั้นอีสเตอร์ในปี 2024 คือ
Good Friday ตรงกับวันที่ 29 มีนาคม 2024
Easter Sunday ตรงกับวันที่ 31 มีนาคม 2024

“อีสเตอร์ที่แท้จริง” หาใช่เรื่องของความสนุกสนานรื่นเริงเท่านั้น แต่คือ ความหวังใหม่ โอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่ ชีวิตใหม่ ที่เราจะได้รับจากการที่องค์พระเยซูคริสต์ได้ทรง “ฟื้นขึ้นจากความตาย” สิ่งที่เกิดขึ้นจึงมีความหมายว่า พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ที่สามารถช่วยเราทุกคนให้พ้นจากผลของของความบาป และ ความตาย เป็นความหวังสำหรับทุกคนที่เชื่อและไว้ใจพระองค์ ที่สำคัญและพิเศษที่สุดก็คือ เราทุกคน มีสิทธิ์ที่จะรับโอกาสนั้นอย่างเท่าเทียมกัน

และนั่นคือความหมายของ “อีสเตอร์ที่แท้จริง”

ขอพระเจ้าอวยพร
SFTLC

 

กลิ่นหอมของพระคริสต์

 วาเลนไทน์ กับความหมายที่แท้จริง

“ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” -ยอห์น15:13

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเป็นวันที่เราเรียกกันว่า “วาเลนไทน์” รู้จักกันดีในชื่อว่า “วันแห่งความรัก” ถูกตั้งขึ้นมาตามชื่อของนักบุญคนหนึ่งคือ St.Valentine of Terni

ในเวลาของ จักรพรรดิ Claudius II (ค.ศ. 214 – 270) ปกครองอาณาจักรโรมัน ต้องการจะรักษาความยิ่งใหญ่ทางการทหาร แต่เกิดปัญหาที่ผู้ชายหลายคนเห็นคุณค่าการแต่งงานและอยากอยู่บ้านมากกว่าการไปรบเพื่ออาณาจักร นั่นทำให้ “ความรัก” กลายเป็นศัตรูของ “ความมั่นคงของชาติ” ดังนั้น Claudius II จึงออกกฎหมายห้ามการแต่งงาน มีนักบวชในกรุงโรมคนหนึ่งชื่อ Valentine ไม่เห็นด้วย จึงได้ทำการจัดพิธีแต่งงานแบบลับ ๆ ให้กับหนุ่มสาวคู่หนึ่ง จึงเป็นสาเหตุให้เขาถูกจับ

วาเลนไทน์ก็ถูกจับกักบริเวณเอาไว้ในบ้านที่คุมโดยมีพัสดีนามว่าแอสเทเรียสเป็นคนดูแล พัสดีแอสเทเรียสมีลูกสาวตาบอดคนหนึ่ง เมื่อท่านสนทนากับวาเลนไทน์ก็ได้ให้สัญญาว่าถ้าหากวาเลนไทน์สามารถรักษาลูกสาวของเขาให้ตาหายบอดได้ก็จะยอมฟังคำขอของวาเลนไทน์ทุกอย่าง วาเลนไทน์จึงวางมือบนดวงตาของนางและอธิษฐานขอพระเจ้ารักษาดวงตาของหญิงสาวคนนี้ โดยพระคุณของพระเจ้าตาของเธอก็หายจากอาการบอด และเป็นไปโดยความสัตย์พัสดีแอสเทเรียสจึงฟังคำขอทุกข้อของวาเลนไทน์ตามคำพูด นั่นคือการยกเลิกความเชื่อตามจารีตเก่าของตนที่ไหว้รูปเคารพและเทพเจ้าจำนวนมากและริเริ่มการดำเนินชีวิตในความเชื่อแบบคริสเตียน พร้อมทั้งพาคนในบ้านอีก 44 คนมารับความเชื่อด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างวาเลนไทน์และครอบครัวของพัสดีท่านนี้แน่นแฟ้นขึ้นตามกาลเวลา วาเลนไทน์คอยสั่งสอนพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องของพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ จนถึงวันที่ท่านถูกปล่อยตัวออกจากการกักบริเวณ

หลังจากพ้นโทษแล้ว นักบุญวาเลนไทน์ก็ไม่ได้เลิกกระทำพันธกิจดังที่เขาเคยทำนั่นคือการจัดงานแต่งงานให้กับคู่หนุ่มสาว รวมไปถึงการชักชวนผู้คนจำนวนมากให้เข้ามารับความเชื่อและดำเนินชีวิตแบบคริสเตียน เมื่อเป็นอย่างนั้นท่านจึงโดนจับกุมอีกครั้ง แต่คราวนี้ถูกจับและส่งตัวไปคุมขังในกรุงโรม ภายใต้การปกครองของกษัตริย์คลาสดิอัสที่ 2 แต่ท่านก็ไม่หยุดภาระกิจที่ตนเองทำ แม้จะถูกขังในกรุงโรมก็ตาม

ในวาระสุดท้ายวาเลนไทน์พยายามไปเกลี้ยกล่อมให้กษัตริย์คลาวดิอัสที่ 2 หันมารับความเชื่อแบบคริสเตียน จักรพรรดิแห่งโรมจึงโกรธจัดและสั่งให้ท่านประกาศตัวเลิกนับถือความเชื่อแบบคริสเตียนถ้าไม่ปฏิเสธก็จะถูกจับประหารชีวิต แน่นอนว่าวาเลนไทน์ปฏิเสธไม่ทำตามที่จักรพรรดิเรียกร้อง ท่านจึง… ถูกประหารชีวิตด้วยการตัดหัวในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 269

ก่อนที่วาระสุดท้ายของท่านจะมาถึง วาเลนไทน์ได้เขียนจดหมายฉบับสุดท้ายเพื่อฝากไปถึง พัสดีและครอบครัวของเขา โดยลงท้ายจดหมายด้วยประโยคที่ว่า “from your Valentine” ตามหนังสือ “The Book of Saints” นั้นความสัมพันธ์ระหว่างวาเลนไทน์กับครอบครัวของพัสดีและลูกสาวนั้นเป็น “มิตรภาพ” ที่ไม่ใช่ความรักแบบหนุ่มสาวเพราะนักบวชจะมีความสัมพันธ์แบบนั้นไม่ได้ หากมีจะไม่ถูกยกให้เป็นนักบุญแต่เรื่องราวที่เล่าต่อกันนั้นบ้างก็มีการแต่งเติมความโรแมนติกเข้าไปให้สมกับวันแห่งความรักมากขึ้น

วันวาเลนไทน์ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับพระคัมภีร์เลย แต่เป็นเพียงวันที่ถูกตั้งขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งต่างจากวันคริสต์มาสและอีสเตอร์ที่ยังมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตของพระเยซูบ้าง ฉะนั้นโอกาสของวันวาเลนไทน์ สิ่งที่เราควรทำ คือ เราควรถ่ายโอนความรักที่เราได้จากพระเจ้าไปสู่พี่น้อง ไปสู่ผู้อื่น ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดเท่านั้น แต่ด้วยการกระทำและความจริง ซึ่งการแสดงความรักต่อกันและกันจะเป็นดัชนีหนึ่งที่วัดว่า เราสัมผัสความรักของพระเจ้ามากแค่ไหน...

ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง
1 ยอห์น 3:18

ขอพระเจ้าอวยพร
คริสตจักรไทย-ลาวคริสเตียนฟลอริดาภาคใต้

ปีที่มาผ่านมาเราทำอะไรกันบ้าง?

"ขอทรงสอนข้าพระองค์ทั้งหลายให้นับวันของตนเพื่อพวกข้าพระองค์จะมีจิตใจที่มีปัญญา"-สดุดี 90:12

ปีใหม่มาถึงแล้ว! และเช่นเดียวกับปีก่อนๆ 365 วันใหม่นี้มาพร้อมกับความคาดหวัง หลายๆ คนเริ่มต้นวันที่ 1 มกราคม ด้วยเป้าหมาย ความหวัง ความฝัน และวางแผนปฏิบัติการสำหรับทุกสิ่งที่พวกเขาอยากจะทำให้สำเร็จ สิ่งที่พบบ่อยที่สุดได้แก่ กิจวัตรการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ความก้าวหน้าในการทำงาน การใช้เวลาร่วมกับครอบครัวอย่างมีคุณภาพ หรือแม้กระทั่งงานรับใช้ในคริสตจักร การตั้งเป้าหมายและปณิธานจึงเป็นวิธีที่ดีในการเริ่มต้นปี และจะบรรลุผลได้ตราบใดที่เรามีวินัยและความตั้งใจอย่างจริงจัง

“ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า…ที่พระองค์ทรงนำข้าพระองค์มาไกลจนถึงแค่นี้” –(1 พงศาวดาร 17:16)

เมื่อเราได้มองย้อนกลับไปถึงหลายปีที่ผ่านมา ได้ลองคิดทบทวนตัวเองตลอดเส้นทางที่พระเจ้าทรงนำแล้วเราจะเห็นว่า พระเจ้าเรานำมาไกลมาก จะเห็นได้ชัดว่าชีวิตของเรามาไกลจากคนที่เราเคยเป็น และความก้าวหน้านี้จะเป็นพลังสำคัญให้ชีวิตเราก้าวต่อไปให้ไกลกว่าเดิม เพราะการทบทวนชีวิตจะทำให้เราเห็นภาพเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราแบบเป็นชิ้นส่วนเล็ก ๆ ประกอบเข้ากันเป็นรูปเป็นร่างได้
เหมือนจิ๊กซอว์ จึงทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น หรือกระจ่างกับปัญหาได้ว่า… ทำไมตอนนั้นเราถึงทำอะไรไปแบบนั้น? ทำไมคนนั้นคนนี้ถึงตัดสินใจแบบนี้? ซึ่งจะส่งผลให้เรามีทัศนคติด้านบวกมากขึ้น สามารถเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้เพราะจุดที่เขากำลังเผชิญเราก็เคยผ่านมา สิ่งนี้ทำให้เราเห็นคุณค่าของประสบการณ์ชีวิตที่มีพระเจ้าอยู่ด้วยในทุก ๆ สถานะการณ์มากกว่าที่จะด่วนตัดสินผู้อื่นตามเหตุการณ์หรือตามอารมณ์ความรู้สึก นอกจากนี้การทบทวนชีวิตจะทำให้เราเห็นวงจรแย่ ๆ ต้นตอนิสัยที่ไม่น่ารักของเราและหาทางจัดการกับสิ่งเหล่านั้นได้ ก่อนจะติดเป็นนิสัยถาวรที่แก้ไม่หาย

ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
2 โครินธ์ 5:17

ทุกปีจึงเป็นฤดูกาลใหม่ ที่เราจะเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆกับพระเจ้า จงอธิษฐานขอให้เราได้เข้าใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงวางแผนไว้สำหรับชีวิตของเรา และเต็มใจที่จะดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟังพระวจนะและติดตามการทรงนำของพระองค์ จำไว้ว่าแผนการของพระองค์มีไว้สำหรับสวัสดิภาพเสมอไม่ใช่เพื่อทำลาย เพื่อให้เรามีอนาคตและความหวัง ขอให้ปีใหม่นี้ เราทุกคนไม่เหมือนเดิม แต่เป็นคนที่มีประสบการณ์ใหม่ ๆ ในพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา มีคำพูดที่เปลี่ยนใหม่ อารมณ์เปลี่ยนใหม่ นิสัยเปลี่ยนใหม่ และมีความเชื่อมากยิ่งขึ้น

ขอพระเจ้าอวยพร
ณ. โมริยาห์

The Greatest Gift 

 
ของประทานอันดี​ทุกอย่างและของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่​มี​การแปรปรวน หรือไม่​มี​เงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง ยากอบ 1:17 
 
ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเป็นช่วงเวลาที่มีการให้ของขวัญแก่กันมากที่สุด เมื่อก่อนฉันเคยตั้งคำถามกับตัวเองและคนรอบตัวว่าทำไมเราจึงให้ของขวัญ และคำตอบที่ได้ก็คือเรามอบของขวัญให้กับคนที่เรารักเพราะเรารักพวกเขา ดังนั้นกิจกรรมช้อปปิ้งเพื่อค้นหาของขวัญที่เรารู้ว่าของสิ่งนี้จะทำให้เขาดีใจเมื่อได้รับ จึงมีรากฐานมาจากความรัก  และพระเจ้าก็ไม่ต่างกัน พระองค์ทรงรักเรามากจนทรงส่งสิ่งที่ดีที่สุดของพระองค์เป็นของขวัญแก่คนทั้งโลก
 
ของขวัญที่พระเจ้าที่ประทานแก่มนุษยชาติคือห่อมาในรางหญ้าและได้มอบให้กับคนที่เล็กน้อยที่สุดในสายตาโลกก่อนเป็นของประทานขั้นสูงสุดนั่นคือ"ชีวิตนิรันดร์" ที่มากับพระบุตรของพระองค์ "พระเยซูคริสต์" ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่โลกรอคอยมาอย่างยาวนาน มีการพยากรณ์ไว้แล้วว่าจะเสด็จมาตั้งแต่หนังสือปฐมกาล เมื่อพระเจ้าตรัสกับงูว่าพระองค์จะทรงให้มัมป็นศัตรูกับเชื้อสายของหญิงนั้น ในขณะที่งูจะทำส้นเท้าของเขาฟกช้ำ (โดยการตรึงกางเขน) และเขาก็จะบดขยี้ศีรษะของมัน (เมื่อพระองค์ฟื้นคืนพระชนม์)
 
แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เรา คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา โรม 5:8 
 
เพราะการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู...
เราได้รับการไถ่และอภัยบาปทั้งหมด
เราได้เป็นผู้ชอบธรรม
เราได้รับสิทธิ์เป็นลูกของพระเจ้า
เราได้เป็นของพระกายของพระคริสต์
พระองค์ทรงเรียกเราว่าสหาย
เราเป็นผู้มีชัยชนะ
เราได้รับชีวิตนิรันดร์!
 
การรู้ความจริงเหล่านี้ควรทำให้เราชื่นชมยินดีไม่ว่าสถานการณ์ในช่วงเทศกาลวันหยุดจะเป็นอย่างไร ความคาดหวังต่างๆอาจไม่ได้ดังใจ การต่อสู้ดิ้นรนเหนื่อยกับหน้าที่การงาน ร่างกายที่เริ่มทรุดโทรม การเจ็บไข้ได้ป่วย และความตาย สิ่งเหล่านี้อาจจะทำให้เราหลงลืมของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าประทานให้แก่เรา เพราะในโลกที่ล่มสลายและเต็มไปด้วยความบาป จะไม่มีคริสต์มาสใดที่จะสมบูรณ์แบบ จนกว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง
 
ไม่ว่าใต้ต้นคริสต์มาสจะมีของขวัญมากมายขนาดไหนแต่วันหนึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะหายไป แต่สิ่งที่เหลืออยู่หลังจากชีวิตนี้ก็คือจิตวิญญาณของมนุษย์และจะคงอยู่ตลอดไป ดังนั้นเราจะทุ่มเทให้กับขวัญที่วางอยู่ใต้ต้นคริสต์มาสหรือจะทุ่มเทให้กับของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าประทานให้ จงเลือกเอา...!
 
Merry Christmas 
ณ. โมรียาห์
 

เจ้ารักเราไหม?

วันหนึ่งฉันตื่นแต่เช้าเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น... ความงดงามแห่งการสร้างสรรค์ของพระเจ้านั้นเกินจะบรรยาย สรรเสริญพระเจ้าสำหรับพระราชกิจอันงดงามของพระองค์ ขณะที่ฉันนั่งอยู่ที่นั่น ฉันรู้สึกถึงการทรงสถิตของพระเจ้ากับฉัน พระองค์ถามฉันว่า "เจ้ารักเราไหม" ฉันตอบว่า "แน่นอน พระองค์เจ้าข้า! ลูกรักพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าและผู้ช่วยให้รอดของลูก!"

แล้วพระองค์ทรงตรัสถามว่า “ถ้าเจ้าพิการทางร่างกาย เจ้าจะยังรักเราไหม”

ฉันรู้สึกสับสน ฉันมองดูแขน ขา และส่วนอื่นๆ ของร่างกาย และสงสัยว่าถ้าร่างกายพิการฉันจะทำอะไรเพื่อพระองค์ได้บ้าง แต่ฉันก็ทูลตอบว่า “คงยาก พระเจ้าข้า แต่ลูกก็ยังรักพระองค์”

แล้วพระเจ้าตรัสถามอีกว่า “ถ้าเจ้าตาบอด เจ้าจะยังรักสิ่งที่เราสร้างหรือไม่?”

ฉันจะรักบางสิ่งบางอย่างโดยไม่สามารถมองเห็นได้อย่างไร จากนั้นฉันก็คิดถึงคนตาบอดในโลกนี้ และมีคนจำนวนมากที่ยังคงรักพระเจ้าและสิ่งทรงสร้างของพระองค์ ฉันก็เลยตอบไปว่า “มันยากที่จะคิด แต่ลูกก็ยังจะรักพระองค์”

พระเจ้าตรัสถามอีกว่า “ถ้าเจ้าหูหนวก เจ้าจะยังฟังคำของเราหรือไม่?”

ถ้าฉันหูหนวกจะได้ยินได้อย่างไร แล้วฉันก็เข้าใจว่าการฟังพระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่แค่การใช้หูของเราเท่านั้น แต่ใช้หัวใจของเราด้วย ฉันทูลตอบว่า “คงจะยาก แต่ลูกก็ยังจะฟังพระวจนะของพระองค์”

พระเจ้าตรัสอีกถามว่า “ถ้าเจ้าเป็นใบ้ เจ้าจะยังสรรเสริญนามของเราหรือไม่?”

ฉันจะสรรเสริญโดยไม่มีเสียงได้อย่างไร แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่าพระเจ้าต้องการให้เราร้องเพลงจากหัวใจและจิตวิญญาณของเรา มันไม่สำคัญว่าเสียงเราจะเป็นอย่างไร และการสรรเสริญพระเจ้าไม่ใช่ด้วยการร้องเพลงเสมอไป เราใช้ร่างกายของเราสรรเสริญพระเจ้าได้ ฉันจึงตอบว่า "แม้ลูกร้องเพลงไม่ได้ แต่ลูกก็ยังสรรเสริญพระนามของพระองค์"

และพระเจ้ายังตรัสถามอีกว่า “เจ้ารักเราจริงหรือ?”

ด้วยความกล้าหาญและความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ฉันจึงตอบว่า “ใช่พระองค์เจ้าข้า ลูกรักพระองค์เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียวและเที่ยงแท้!” ฉันคิดว่าฉันตอบได้ดีแล้ว แต่พระเจ้าตรัสถามอีกว่า

"แล้วทำไมเจ้าถึงทำบาป?"

ฉันนิ่งไปชั่วขณะ ไม่มีเสียงตอบจากฉัน นอกจากน้ำตาที่พร่างพรูออกมา พระเจ้าตรัสถามต่อ

“เหตุใดเจ้าจึงร้องเพลงสรรเสริญเราเฉพาะวันอาทิตย์?"
" ทำไมจึงแสวงหาเราเฉพาะในเวลานมัสการเท่านั้น?"
" ทำไมเจ้าอธิษฐานขอสารพัดสิ่งเพื่อตัวเจ้าเอง?"
"เหตุใดเจ้าจึงละอายที่จะประกาศนามของเรา?"
" ทำไมเจ้าหลีกเลี่ยงเมื่อเราให้โอกาสเจ้ารับใช้ในนามของเรา?"
"เราได้เปิดเผยพระวจนะของเราแก่เจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่ได้ใส่ใจที่จะรับเอา"

ฉันไม่สามารถตอบได้ ความรู้สึกผิดและเสียใจทำให้ฉันอยากจะหายตัวออกไปให้พ้นจากพระพักต์ของพระองค์ ฉันไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยหัวใจที่สำนึกผิด ฉันจึงกล่าวแต่เพียงว่า
"ได้โปรดยกโทษให้ลูกด้วย ลูกไม่คู่ควรที่จะเป็นบุตรของพระองค์"

พระเจ้าตรัสตอบว่า “ เจ้าเป็นลูกของเรา เราจะไม่ละเจ้าหรือทอดทิ้งเจ้าเลย เมื่อเจ้าร้องไห้ เราจะร้องไห้ไปพร้อมกับเจ้า เมื่อเจ้าหัวเราะด้วยความยินดี เราจะหัวเราะไปกับเจ้า เมื่อเจ้าล้มเราจะพยุงเจ้าให้ลุกขึ้น เมื่อเจ้าเหนื่อยเราจะให้เจ้าหยุดพักและหายเหนื่อย เราจะอยู่กับเจ้าจนวันสุดท้ายและเราจะรักเจ้าตลอดไป นั่นคือพระคุณของเรา"

ฉันไม่เคยร้องไห้หนักขนาดนี้มาก่อน ทั้งๆ ที่ฉันเป็นคนบาปที่ทำให้พระองค์เสียพระทัยอยู่ตลอดเวลา แต่พระองค์ยังทรงรักฉัน แล้วฉันจึงถามพระเจ้าว่า "พระองค์ทรงรักลูกมากแค่ไหน"

พระเจ้าทรงเหยียดแขนของพระองค์กางออก และฉันได้เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ ฉันก้มกราบแทบพระบาทของพระองค์ พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของฉัน และนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันอธิษฐานด้วยน้ำตา

เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักพวกท่าน เพราะท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า
ยอห์น 16:27


สรรเสริญพระเจ้า


นิรนาม

คุณเชื่อพลังแห่งการอธิษฐานหรือไม่

เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เมื่อพวกท่านอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ แล้วพวกท่านจะได้รับสิ่งนั้น
มาระโก 11:24

เชื่อว่าหลายๆคนมีประสบการณ์เดินทางโดยเครื่องบิน ไม่ค่อยมีใครอยากนั่งใกล้ครอบครัวที่มีเด็กเล็กๆนั่งอยู่ด้วย เที่ยวบินที่ฉันบินกลับจากเมืองไทย flight เต็มและมีเด็กค่อนข้างจะเยอะ ฉันเห็นครอบครัวหนึ่งมีลูกเล็กวัยไล่เลี่ยกัน 4 คน คนโตคงประมาณ 6 ขวบ ส่วนคนเล็กสุด ยังเป็นทารกคุณแม่อุ้มติดที่อก ฉันคิดในใจขออย่าให้เราได้ที่นั่งติดครอบครัวนี้เลย เพราะมัมคงจะไม่สงบแน่ถ้าจะต้องนั่งใกล้ๆเด็กเล็ก10กว่าชั่วโมง แค่คิดก็เป็นจริง เราได้ที่นั่งค่อนข้างห่างจากครอบครัวนั้นพอสมควร แต่พอเครื่องบินเริ่มเคลื่อนตัวออกจาก run way


เสียงร้องไห้ของเด็กทารกคนนั้นซึ่งไม่รู้ว่าไปเอาพลังมาจากที่ไหนร้องดังลั่นไปทั้งเครื่องบิน ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ พนักงานต้อนรับพยายามที่จะทำให้เด็กสงบลงและหยุดร้อง แต่เสียงร้องไห้นั้นก็ไม่ได้แผ่วลงเลย จิตใจของฉัน ณ.เวลานั้นจดจ่ออยู่ที่เสียงร้องของเด็กทารกคนนั้น 10 นาทีผ่านไป เสียงร้องยังคงดังอยู่ ฉันได้แต่คิดอยู่ในใจใครก็ได้ช่วยทำให้เสียงร้องไห้นั้นเงียบลงที 20 นาทีผ่านไป ฉันเพิ่งคิดได้ว่าทำไมฉันไม่อธิษฐานเผื่อเด็กทารกคนนั้นล่ะ เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันจึงหลับตาและก้มหัวลง จินตนาการว่าเด็กทารกคนนั้นอยู่ในอ้อมอกของฉันและเริ่มอธิษฐานต่อพระเจ้า

ข้าแต่พระบิดาบนสวรรค์ ผู้เป็นที่รักยิ่ง ลูกขอเมตตาจากพระองค์โปรดทรงช่วยปลอบประโลมเด็กทารกน้อยคนนี้ด้วยเถิด โปรดช่วยให้เขาหยุดร้องไห้ หรือถ้าเขากำลังเจ็บปวดในส่วนใดของร่างกาย ขอให้พระองค์ปัดเป่ามันออกไปด้วยเถิด ลูกเชื่อว่าเมื่อพระหัตถ์ของพระองค์สัมผัสเขา เขาจะหยุดร้อง และเมื่อเขาได้ยินเสียงของพระองค์เขาจะสงบ เวลานี้ผู้เป็นพ่อแม่ตลอดทั้งผู้โดยสารในเครื่องบินนี้เริ่มจะหงุดหงิดกับเสียงร้อง ลูกรู้ว่ามันน่าสะเทือนใจและน่าหงุดหงิดแค่ไหนที่ได้ยินเสียงลูกน้อยร้องไห้ปานจะขาดใจ ในขณะที่เรารู้สึกหมดหนทางที่จะทำให้สงบ แต่ลูกรู้ว่ามีพระองค์เท่านั้นที่จะหยุดเสียงนี้ได้ ขอพระองค์ทรงเหยียดพระหัตถ์ออกมาด้วยเถิด ลูกอธิษฐานขอพระเมตตาจากพระองค์ ในพระนามพระเยซูคริสต์


เพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่ฉันอธิษฐานเสร็จ เสียงร้องไห้นั้นก็เงียบไป! ฉันหลับตาอธิษฐานขอบพระคุณพระเจ้าและรู้สึกละอายใจเพราะไม่คาดคิดว่าพระองค์จะตอบคำอธิษฐานได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ และถ้าฉันจะอธิษฐานตั้งแต่ 5 นาทีแรกที่เด็กเริ่มร้องไห้เราก็คงไม่หงุดหงิดไปกับเสียงร้องเกือบครึ่งชั่วโมง

จากเหตุการณ์ในตอนนั้นนอกจากจะสอนให้ฉันพึ่งพาพระเจ้าในทุกๆสถานการณ์แล้วยังทำให้รู้ว่ายิ่งเราเข้าหาพระเจ้าเร็วเท่าไร ปัญหาของเราก็จะยิ่งหายไปเร็วเท่านั้น ต่อไปนี้ไม่ว่าฉันจะได้ยินเสียงกรีดร้องของใครหรือเสียงร่ำไห้ของตัวเอง ฉันจะรีบวิ่งไปที่พระองค์และอธิษฐานขอการช่วยกู้ เพราะฉันได้ตระหนักแล้วว่า

พระกรรณของพระองค์ไม่ได้ตรึง และพระหัตถ์ของพระองค์ก็ไม่ได้สั้นเกินที่จะช่วยเหลือเราไม่ได้

สรรเสริญพระเจ้า
อรอุมา ศฤงฆารนันท์

เริ่มต้นกับพระเจ้า...

เริ่มต้นใหม่ในทุกเช้ากับพระเจ้าก่อนที่เราจะทำสิ่งใด ให้เวลากับพระเจ้าก่อนฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าด้วยการ
การอ่านพระคำของพระเจ้านั้น เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตคริสเตียนจริงๆ เมื่อใดก็ตามที่เราหลงลืม เราเองมักจะพบเจอกับอะไรแปลกๆที่ เข้ามาซึ่งทำให้เราเขว เป็นการหลอกล่อให้เราสงสัย เดินตาม ทำตาม และสุดท้ายกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถูกบาปกลืนกิน กัดกร่อนชีวิตฝ่ายวิญญาณไปแล้ว พระเยซูจึงสอนเรา

(มัทธิว 4:4)
พระองค์ตรัสตอบว่า มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า "มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า" เพราะพระคำของพระเจ้าทรงสั่งสอน ย้ำเตือนสติ ทุกย่างเท้าของเรา ให้เราระมัดระวังในทางของคนบาป เดินตามคำสอน เชื่อฟัง เราจึงรู้เท่าทันบาปต่างๆ และไวต่อบาป แล้วเรากลับใจได้ทันก่อนจะถลำลึกไปมากกว่านี้ พระคำของพระเจ้าทรงเป็นมากกว่าที่เราคิด

(เพลงคร่ำครวญ 3:23 )
เป็นของใหม่อยู่ทุกเวลาเช้า ความเที่ยงตรงของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก
วันนี้...เราจะติดกระดุมเสื้อเม็ดแรก อย่างไร?

ศุภวรรณ ณ หนองคาย

 

เราได้ติดสนิทในพระคริสต์หรือยัง?

จงติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับพวกท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเถา พวกท่านก็เช่นเดียวกันจะเกิดผลไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเรา
ยอห์น 15:4

ต้นองุ่นนั้นมีกิ่งมากมายแต่กิ่งมากมายเหล่านี้ก็ล้วนประกอบเป็นต้นองุ่นต้นเดียวกัน ซึ่งทั้งต้นและกิ่งนั้นไม่อาจแยกออกจากกันได้เลย ถ้าเรากล่าวว่าเราติดสนิทกับพระคริสต์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์องค์ เราก็ต้องสำรวจว่าเราได้เป็นหนึ่งกับส่วนอื่นๆ หรือไม่. ถ้าเราไม่มีความเป็นหนึ่งกับส่วนอื่นๆ ที่อยู่ในพระองค์การที่เราอ้างว่าเราติดสนิทกับพระคริสต์ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นจริงได้ เพราะขณะที่เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นองุ่นแท้คือพระคริสต์ที่มีกิ่งและแขนงมากมาย แต่เรากลับปฏิเสธกิ่งหรือแขนงอื่นๆ ก็แสดงว่าเรายังไม่ยอมรับการมีส่วนในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของผู้อื่นที่มีต่อพระคริสต์ด้วยเช่นกัน

ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักพวกเขาเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์
ยอห์น 17:23

การติดสนิทในพระคริสต์จึงมิใช่เพียงแค่ การที่เราได้อ่านพระคัมภีร์ทุกวัน.. อธิษฐานทุกวัน.. เฝ้าเดี่ยวทุกวัน ถวายตัวรับใช้ ไม่เคยขาดโบสถ์ แต่ยังคงมีความหมายที่กว้างไกลไปมากกว่านั้นอีกคือ การที่กลุ่มผู้เชื่อในพระคริสต์มีชีวิตที่กลายเป็น “อันหนึ่งอันเดียวกัน” กับพระคริสต์อย่างสมบูรณ์ มีความรักเหมือนพระองค์ มีความเมตตาปราณีเหมือนพระองค์ มีความอดทนอดกลั้นเหมือนพระองค์ มีความสุภาพอ่อนน้อมเหมือนพระองค์ เป็นผู้สร้างสันติเหมือนพระองค์ และเหนืออื่นใดเราจะต้องรักกันและกัน

“บัญญัติของเราคือให้พวกท่านรักกันและกัน เหมือนอย่างที่เรารักท่าน
ยอห์น 15:12

เพื่อยืนยันว่าวันนี้เราติดสนิทในพระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ก็อยู่ภายในเรา เราจะต้องสำแดงความรักต่อกันและกันผ่านการกระทำและคำพูด เหมือนที่พระคริตส์ทรงรักคนบาปและได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อสำแดงความรักของพระองค์ เมื่อเราได้กระทำเช่นนั้นคนทั้งหลายก็จะรู้ว่าเราเป็นสาวกของพระคริตส์และเขาก็จะได้สรรเสริญพระบิดาผู้สถิตย์ในสวรรค์ของเรา

สรรเสริญพระเจ้า
อรอุมา ศฤงฆารนันท์


อะไรคือผลของการติดสนิท?

 

ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น
ยอห์น 15:7

จากงานค่าย Abide in Christ ที่ผ่านมา ฉันเชื่อว่าพี่น้องหลายๆท่านจะได้รับการฟื้นฟู หนุนใจ และเติบโตมากยิ่งขึ้นในพระคริสต์ ก่อนจะจัดงานค่าย คณะกรรมการได้ตั้งคำถามขึ้นมาว่า อะไรคือผลของการติดสนิท? แน่นอนที่สุดส่วนใหญ่เราจะเล็งไปที่ผลของพระวิญญาณ(กาลาเทีย 5:22-25) แต่ผลที่ได้ กลับอยู่ใน ยอห์น 15:7 "ผลแห่งการทูลขอ"

เราจะติดสนิทกับพระคริสต์ได้ก็ต่อเมื่อเรามีพระวจนะของพระองค์อยู่ในเรา ความหมายของการให้พระวจนะอยู่ในเรา ไม่ใช่เพียงแค่อ่านพระคัมภีร์ ไม่ใช่เพียงแค่ท่องจำและใคร่ครวญพระคัมภีร์ และไม่เพียงแค่ฟังคำเทศนาและเรียนพระคัมภีร์เท่านั้น แต่ยัง หมายความว่าให้เราตระหนักว่าพระวจนะของพระเยซูเป็นถ้อยคำที่มีชีวิต พระวจนะจะมีชีวิตได้ก็ต่อเมื่อถูกสำแดงออกมาผ่านการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ

พระเยซูยังตรัสอีกว่าสิ่งใดก็ตามที่เราทูลขอจากพระบิดาในนามพระเยซู พระองค์จะประทานให้แก่เรา
เมื่อคำอธิษฐานของเราสอดคล้องกับพระวจนะและพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งที่เราอธิษฐานทูลขอก็จะเกิดผลเสมอ เพราะเราจะทูลขอสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าไม่ใช่ขอในสิ่งที่เราต้องการ

“ข้าแต่พระบิดา ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” ลูกา 22:42

การเกิดผลฝ่ายวิญญาณจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเรา "ติดสนิท" ในพระวจนะของพระคริสต์ และเมื่อพระวจนะได้ฝั่งเข้าไปในจิตใจของเราแล้วคำอธิษฐานที่ได้รับคำตอบจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสิ่งที่เราอธิษฐานนั้นเป็นส่วนหนึ่งของน้ำพระทัยของพระเจ้า

ข้าแต่พระบิดาขอให้การภาวนาจิตของข้าพระองค์เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด ในพระนามพระเยซูคริสต์

สรรเสริญพระเจ้า
อรอุมา ศฤงฆารนันท์

พระเจ้าจะรักฉันหรือไม่..ถ้าฉันยังเป็นคนบาปอยู่?


พระยาห์เวห์ทรงปรากฏแก่เขาจากที่ไกล ตรัสว่า "เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้น เราจึง
นำเจ้ามาด้วยความรักมั่นคง"
เยเรมีย์ 31:3


ลูกสาววัย 11 ขวบของฉันเวลาที่เธอทำผิดและถูกตำหนิ มักจะแสดงความน้อยใจและตัดพ้อฉันเสมอว่า
ฉันไม่รักเธอแล้วหรือ? ทั้งๆที่เธอทำผิดแต่กลายเป็นว่าการตักเตือน การตำหนิของฉันกลับทำให้เธอรู้สึกว่า
ความรักของฉันที่มีต่อเธอนั้นน้อยลง


หลายครั้งที่เรารู้สึกอย่างนั้นเช่นกันในความรักของพระเจ้า เรารู้สึกว่าพระเจ้ารักเราน้อยลงเพราะ
การอธิษฐานของเรายังไม่เกิดผล เวลาที่เราถูกการทดลองแล้วต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบาก
หรือแม้กระทั้งเราทำผิดแต่กลับโยนความผิดนั้นให้พระองค์ว่าเป็นผู้นำสิ่งนั้นเข้ามาในชีวิตเรา
พระคัมภีร์เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความรักของพระเจ้าและย้ำถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อเรา เรื่องราว
ครั้งแล้วครั้งเล่าแสดงให้เห็นว่าความรักที่พระเจ้ามีต่อประชากรของพระองค์นั้นมั่นคงยิ่งนักแม้ว่าเรา
ไม่สมควรได้รับความรักนั้นก็ตาม พระเจ้าทรงพิสูจน์ความรักที่ทรงมีต่อเราโดยประทานพระคริสต์
มาสิ้นพระชนม์เพื่อเราในขณะที่เรายังเป็นคนบาป (โรม 5:8) พระเจ้าต้องการให้เรารู้ว่าพระองค์
ทรงรักเรามากเพียงใด และความรักของพระองค์ขึ้นอยู่กับความเมตตาและพระคุณของพระองค์มากกว่า
การกระทำของเรา เมื่อเราได้เข้าใจความจริงนี้ ความรักของพระเจ้าจึงกลายเป็นความจริงที่เราสัมผัสได้
ในฐานะผู้ติดตามพระเยซูเราจึงมั่นใจได้เสมอว่าจะไม่มีสิ่งใดมาพรากความรักของพระเจ้าไปจากเราได้
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม


เพราะภูเขาทั้งหลายอาจถูกเคลื่อนย้ายไป และบรรดาเนินเขาอาจจะคลอนแคลน แต่ความรักมั่นคงของเรา
จะไม่เคลื่อนย้ายไปจากเจ้า และพันธสัญญาแห่งสวัสดิภาพของเราจะไม่คลอนแคลน” พระยาห์เวห์ผู้ทรง
สงสารเจ้าตรัสดังนี้
อิสยาห์ 54:10

ขอพระเจ้าอวยพร
อรอุมา ศฤงฆารนันท์

กายจะอยู่ไม่ได้ถ้าปราศจากศีรษะ
แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรักเพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์
(เอเฟซัส 4:15)

พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของกายเรา พระองค์จึงเป็นผู้ควบคุมชีวิตเราด้วยความรักเพราะเราเป็นอวัยวะ
ของพระองค์ เราจึงเป็นกายที่มีชีวิตโดยไร้ศีรษะไม่ได้ การติดสนิทกับพระองค์จึงเป็นสิ่งสำคัญตลอดเวลา
ชีวิตของเราทุกการเคลื่อนไหวล้วนต้องการพระองค์ เหมือนกิ่งที่ติดอยู่กับเถาองุ่นที่เป็นท่อน่ำหล่อเลี้ยง
สู่กิ่งนั้น ไม่มีน้ำหล่อเลี้ยงกิ่งนั้นย่อมไม่บังเกิดผลและล่วงหล่นไปอย่างไร้คุณค่า

เปาโลกล่าวว่า.....ศีรษะนั้นเป็นเหตุให้กายทั้งหมดได้รับการบำรุงเลี้ยง และติดต่อกันด้วยข้อและเอ็นต่างๆ
จึงได้เจริญขึ้นตามที่พระเจ้าทรงโปรดให้เจริญขึ้นนั้น (โคโลสี 2:19)

ขอบคุณพระบิดาที่ทรงโปรดส่งพระคริสต์ผู้เป็นศีรษะมาควบคุมคนบาปอย่างลูกที่เป็นอวัยวะโดยปราศจาก
ศีรษะไม่ได้เลย ขอบคุณในนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน

วลัยพรรณ ลิทเทอร์

รากแห่งรักในพระคริสต์
รากฐานของตึก คือ อิฐ
รากฐานของชีวิตผู้เชื่อ คือ พระคริสต์
เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์
คุณก็จะได้รับความไว้ว่างใจ
เมื่อคุณปลูกความดี
คุณก็จะได้รับมิตรภาพ
เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน
คุณก็จะได้รับเกียรติ

เหตุฉะนั้นเมื่อท่านได้รับพระเยซูคริสตเจ้าแล้วฉันใด จงปฏิบัติพระองค์ด้วยฉันนั้น จงหยั่งรากและก่อร่าง
สร้างขึ้นในพระองค์ และมั่นคงอยู่ในความเชื่อ ตามที่ท่านได้รับคำสั่งสอนมาแล้ว และจงบริบูรณ์ด้วยการ
ขอบพระคุณ (โคโลสี 2:6-7)

เพราะพระเจ้า ทรงเลี้ยงดูจิตใจของเราด้วยพระคำของพระองค์ ขณะที่องค์พระวิญญาณทรง
เปลี่ยนแปลงเรา พระองค์ทรงทำให้แน่ใจว่าผลที่เกิดจากความเชื่อซึ่งหยั่งรากลึกของเรานั้นจะปรากฏ
ให้ผู้คนรอบข้างเราเห็นชัดเจนในชีวิตผู้เชื่อและจึงมีคำเปรียบ ของพระเยซูไว้ว่า ผู้ใดที่ได้ยินคำของพระองค์
แล้วกระทำตามว่า
“เป็นผู้ที่วางรากฐานบ้านของตนลงในศิลา เมื่อเกิดพายุและกระแสน้ำไหลหลากอย่างรุนแรง บ้านนั้น
ยังตั้งมั่นคงอยู่ไม่คลอนแคลน”
และผู้ใดที่ได้ยินคำตรัสของพระองค์ แต่ไม่กระทำตามว่า
“เป็นเหมือนคนที่วางรากฐานของบ้านลงบนหาดทราย เมื่อฝนตกหนักเกิดพายุ พัดแรงบ้านนั้น
ก็พังทลายลง” (มัทธิว 7:21-23)

คำเปรียบเปรย รากฐานแห่งชีวิต สองชนิดนี้เราจะเลือก ที่จะตั้งมั่นคงในความเชื่อโดยว่างรากฐานไว้บน
พระวจนะ ที่ไม่หวั่นไหว หรือ จะเลือก ชีวิตที่ไม่ก่อ ราก ละทิ้งความเชื่อเมื่อพบเจอกับ พายุชีวิต ขอให้เรา
ทั้งหลาย เปลี่ยนแปลง จากภายในและให้ความเชื่อของเราทั้งหลายหยั่งรากลึกอยู่ในพระคำที่ไม่
เปลี่ยนแปลง

คุณศุภวรรณ ณ หนองคาย

ขอบคุณเถาองุ่นที่ให้ชีวิตแขนง

จงสนิทอยู่กับเรา และเราสนิทอยู่กับพวกท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเถา
พวกท่านก็เช่นเดียวกัน จะเกิดผลไม่ได้นอกจากติดสนทิอยู่กับเรา เราเป็นเถาองุ่นพวกท่านเป็นแขนง
คนที่ติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับเขา คนนั้นจะเกิดผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้ว
พวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย (ยอห์น 15:4-5 THSVII)

พระองค์ทรงเปรียบเทียบว่าพระองค์เป็นเถาองุ่นที่ต้องดูแลแขนงของต้นให้เจริญงอกงาม แขนงใดที่ไม่ดี
ก็จะถูกตัดทิ้งไป ส่วนแขนงที่ดีก็จะเกิดผลองุ่นออกมา เราทุกคนเป็นแขนงที่พระองค์ทรงห่วงใยและดูแล
ดังนั้น เราจึงต้องตัดสนิทกับพระองค์ดังเช่นแขนงขององุ่นที่เข้มแข็งและเติบโตอย่างมีคุณภาพ เราจะ
เป็นเถาองุ่นที่มั่นคง

ดิฉันคิดเสมอว่า พระเจ้าทรงต่อสู้เพื่อเรา เกิดเพื่อเรา ตายเพื่อเรา ทุกลมหายใจของเราควรมีพระองค์
ตั้งแต่ลืมตาขึ้นจวบจนกระทั่งเข้านอน ขอให้พระเข้าเติมพลังเราด้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะเข้มแข็ง
ขึ้นได้ด้วยการติดสนิทกับพระองค์ เราจะไม่เพียงอ่อนแอเมื่อเราตัดขาดจากพระองค์ แต่เราจะตายเมื่อเรา
ไม่มีพระองค์เพราะทุกย่างก้าวของการดำเนินชีวิตแม้แต่ขณะนอนหลับพระองค์ทรงอยู่กับเรา

ดังนั้น เราจะดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟัง ถวายตัว นมัสการด้วยความจริงใจ เปิดใจหาพระองค์ทุกเรื่อง
การอ่านพระคัมภีร์ การนมัสการ การสามัคคีธรรม การอธิษฐาน การขอบพระคุณ การเป็นพยาน
ล้วนเป็นสิ่งแสดงออกถึงการติดสนิทกับพระองค์

ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเตือนสติให้ลูกระลึกถึงพระองค์ทุกลมหายใจเข้าออกของลูก และทรงเป็นท่อน้ำเลี้ยง
สู่แขนงที่ต้องการการดูแลจากเถาองุ่นที่มั่นคงเช่นพระองค์ผู้้สูงสุด

วลัยพรรณ ลิทเทอร์

วันเวลาเป็นของผู้ใด?

หลังจากเสียงเพลงวันคริสต์มาสจางหายไป… หลังจากแกะห่อของขวัญปีใหม่และสังสรรค์อย่างต่อเนื่อง
ปีใหม่แล้ว… ถ้าเราจะก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคงและพร้อมรับมือกับทุกเหตุการณ์ในอนาคต 1 ปีข้างหน้า
ให้เราได้นั่งลงคิดทบทวนตัวเองในปีที่ผ่านมา เพื่อเราจะได้ปรับปรุงตัวเองได้ดียิ่งขึ้น มีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น
เดินหน้าต่อไปด้วยความหนักแน่นมั่นคง และที่สำคัญให้เราได้หันกลับไปนับพระพรของพระเจ้าที่ทรงนำเรา

มาได้ไกลถึงเพียงนี้...
ในปีที่ผ่านมาฉันได้เรียนรู้ถึงวาระของพระเจ้า
มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่งและ
มีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์
มีวาระให้กำเนิด และวาระตาย
มีวาระเพาะปลูก และวาระถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง
มีวาระฆ่า และวาระรักษาให้หาย
มีวาระรื้อทลายลง และวาระก่อสร้างขึ้น
มีวาระร้องไห้ และวาระหัวเราะ
มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ
มีวาระโยนหินทิ้ง และวาระเก็บรวบรวมหิน
มีวาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอด
มีวาระแสวงหา และวาระทำหาย
มีวาระเก็บรักษาไว้ และวาระโยนทิ้งไป
มีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ
มีวาระนิ่งเงียบ และวาระพูด
มีวาระรัก และวาระเกลียด
มีวาระสงคราม และวาระสันติ
(ปัญญาจารย์ 3:1-8)

พระองค์ทรงเป็นเจ้าของเวลาและแผนการณ์ทั้งหมดในโลกใบนี้ที่พระองค์เป็นผู้สร้าง ทรงควบคุม
ทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงแม้ว่าหลายสิ่งอาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบเช่น วาระตาย วาระไว้ทุกข์ วาระเกลียด
หรือวาระสงคราม แต่จงระลึกเสมอว่าทุกสิ่งที่ดูเหมือนจะแย่แต่แท้จริงจะกลับกลายให้เกิดผลดีในที่สุด
ตามแผนการอันสมบูรณ์ของพระองค์ ให้เราดำรงในความเชื่อ วางใจในพระองค์ เพราะพระเจ้าประทาน
พระคุณอย่างเพียงพอ ขอเพียงให้เราถ่อมตัวเองลง ยอมรับน้ำพระทัย แผนการ และอดทนรอคอยวาระ
ของพระองค์อย่างมีสันติสุข ใช้ชีวิตให้เป็นพระพรต่อตนเองและผู้อื่น มีความสุขในสิ่งที่เราได้ทำและพัฒนา
สิ่งที่พระเจ้าประทานให้สูงค่ายิ่งขึ้นเพื่อถวายเกียรติต่อพระองค์ จงมอบแผนงานทุกอย่างไว้กับพระองค์
เพราะพระองค์จะทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามวาระของมัน.

ขอพระเจ้าอวยพร
อรอุมา ศฤงฆารนันท์

เหนื่อยไหมกับการโกหก?


" พระเยซูตรัสกับนางว่า " ไปเรียกสามีของเธอมาที่นี่ " นางทูลพระองค์ว่า "ดิฉันไม่มีสามีค่ะ"
พระเยซูตรัสกับนางว่า เธอพูดถูกที่ว่าไม่มีสามี เพราะเธอมีสามีถึง 5 คนแล้ว และคนที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ใช่
สามีเธอ เรื่องนี้เธอพูดจริง" (ยอห์น 4:16-18)


หญิงสาวสะมาเรียโกหกพระเยซูว่านางไม่มีสามี แต่พระองค์ตอบกลับไปว่านางมีสามีแล้ว เราโกหก
ตัวเองและมนุษย์ด้วยกันได้ แต่แน่นอน เราโกหกพระเจ้าไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงรู้ทุกอย่างในชีวิตเรา
ทุกการกระทำและทุกความคิด


"โกหก " คำสั้นๆ สองคำ เป็นได้ทั้งโกหกคำเล็กและโกหกคำโต คนส่วนมากชอบขุดหลุมพรางแห่งการ
โกหก โกหกคำโต โกหกเล็กๆ ตามสถานการณ์ ฉันคนหนึ่งที่บ่อยครั้งชอบพูดโกหกโดยมีเหตุผลแก้ตัวต่างๆ
นานา โดยเฉพาะโกหกเพื่อให้คนอื่นสบายใจ แต่แท้จริงเป็นข้อแก้ตัวตื้นๆ นั่นเอง และทำให้ฉันต้อง
สารภาพผิดบาปครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่ง และไม่สมควรกระทำให้เสื่อมเสียต่อ
พระเกียรติพระองค์ เอาเวลาที่รบกวนพระองค์ในการสารภาพบาปไปอธิษฐานขอพรต่อพระองค์ไม่ดีกว่า
หรือ?


" ริมฝีปากที่พูดมุสาเป็นที่น่าเกลียดน่าชังแก่พระเจ้า " สภษ.12:22


ข้าแต่พระบิดาเจ้า โปรดอภัยผิดบาปให้กับลูกที่พูดโกหก และโปรดทรงช่วยชำระจิตใจของลูกให้ซื่อสัตย์
ไม่พูดโกหก แม้เป็นการโกหกเล็กๆ น้อยๆ เพ

คุณเคยรอคอยสิ่งใดด้วยทั้งชีวิตของคุณไหม?

สิเมโอนเข้าไปอุ้มพระกุมาร และสรรเสริญพระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์เจ้านาย บัดนี้ขอทรงให้ทาส
ของพระองค์ไปเป็นสุขตามพระดำรัสของพระองค์ เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของ
พระองค์แล้ว (ลูกา 2:28-30)

ในโลกปัจจุบันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องแข่งขันกันด้วยเวลาจึงทำให้มนุษย์มีความอดทนน้อยลง
ลูกสาววัย 11 ขวบของฉันกำลัง download app ลงโทรศัพท์ยังไม่ถึง 10 วินาที เธอก็บ่นแล้วว่าทำไม
download นานจัง ฉันนัดเพื่อนไว้แต่ไปสาย 10 นาที เพื่อนบอกไม่รอแล้วนะ

จริง ๆ การรอคอยเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เรามีห้อง waiting room เพื่อรอพบหมอ
เราเข้าคิวรอเพื่อจ่ายเงิน เราไปร้านอาหารรอให้ host พาไปนั่ง เราถือสายโทรศัพท์รอเพื่อคุยกับ operator
บางสิ่งเราอดทนรอคอยได้ถ้าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อเรา

สิเมโอนอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยความหวังใจว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมาและนำสันติสุขมาสู่ชนชาติ
อิสราเอล เขารอคอยผู้นั้นตลอดทั้งชีวิตของเขา ชื่อ “สิเมโอน” แปลว่า “พระเจ้าทรงได้ยินแล้ว”
และเราก็ได้เห็นแล้วว่าพระองค์ทรงได้ยินคำอธิษฐานของสิเมโอน

บางครั้ง "การรอคอย" คือสิ่งที่พระเจ้าเรียกให้เราทำ พระองค์อาจไม่ได้ให้เราได้ทำงานที่ยิ่งใหญ่
อย่างโมเสส ไม่ใช่งานที่จะได้รับความสนใจจากใครมากนัก แต่พระเจ้าเรียกให้เรารอคอย พระเจ้า
กำลังสอนให้เราอดทนเพื่อความชื่มชมของเราจะเต็มเปี่ยมเมื่อสิ่งนั้นมาถึง แต่เมื่อเราพยายามก้าวออกไป
และทำในสิ่งที่เราต้องการโดยไม่รอเวลาของพระองค์ เราอาจจะสะดุดล้มลงได้ อย่าลืมว่าพระเจ้าไม่เคยลืม
ขณะที่เรารอคอย พระองค์จะทรงเสริมกำลังเรา เราจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เราจะวิ่งและ
ไม่อ่อนเปลี้ย เราจะกลายเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำซึ่งออกผลตามฤดูกาล
เราจึงมีสันติสุขในการรอคอย เพราะเรามั่นใจว่าผู้ที่เรากำลังรอคอยกำลังจะเสด็จกลับมา เหมือนกับที่
สิเมโอนได้เจอกับผู้นั้นแล้ว

ขอพระเจ้าอวยพร
อรอุมา ศฤงฆารนันท์

ขอบคุณพระเจ้า

“เพราะพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่ว่างใจในพระบุตร
นั้นจะมิได้พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16)

เป็นอีกวันที่ทำให้เราละลึกถึงพระคุณของพระองค์ที่ทรงประทานสิ่งดีเสมอมา ทั้งทุกข์และสุข พระองค์
มิได้ห่างหายไปที่ใด แต่พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ ทรงเป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ ทรงเป็นป้อมปราการ
อันเข็มแข็ง ทรงดูแลรักษาสุขภาพทั้งจิตใจภายในและร่างกายภายนอก พระองค์ทรงเสริมกำลังและ
เรี่ยวแรงใหม่ในทุกๆวัน “เรารู้ว่าเราเผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง “(ฟิลิปปี 4:13) และ”
เรารู้ว่าพระองค์ทรงช่วยเหลือคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลดีในทุกสิ่งคือคนที่พระองค์ทรงเรียกตาม
พระประสงค์ของพระองค์” (โรม 8:28)

พระคุณอันยิ่งใหญ่นี้ ทำให้เรามั่นใจและว่างใจในพระเจ้า ทรง ให้เรา มั่นใจในหนทางข้างหน้าในความ
ทุกข์อยากลำบากนั่น จะมีพระพรซ้อนอยู่เสมอ เพียงแค่เชื่อและวางใจ

พระคุณอันยิ่งใหญ่ที่เปี่ยมล้นด้วยความรัก
พระคุณอันยิ่งใหญ่ที่เปี่ยมล้นด้วยฤทธาที่ปกคลุมเรา
ทรงเป็นพลังแห่งชีวิต
ทรงเป็นแสงสว่างนำทาง
ทรงเป็นของขวัญที่ประเสริฐ
คือ พระเยซูคริสต์

คุณศุภวรรณ ณ หนองคาย

ตอบโจทย์ความเชื่อ

เราพูดถึงสิ่งที่เราเห็นเมื่ออยู่กับพระบิดา และพวกท่านทำในสิ่งที่พวกท่านได้ยินมาจากพ่อของท่าน
(ยอห์น 8:38)

พระเยซูเจ้าทรงบอกเล่าและสั่งสอนทุกอย่างที่พระองค์รับมาจากพระบิดาซึ่งเป็นพระเจ้า ส่วนเรา
รับเอาความเชื่อทุกอย่างมาจากพ่อ แม่ บรรพบุรุษของเราที่เป็นมนุษยธรรมดา ๆ เท่านั้น และเต็มไปด้วย
ผิดบาป ฉันอีกคนหนึ่งที่เชื่อและปฏิบัติตามพ่อ แม่ บรรพบุรุษ จนกลายเป็นประเพณีที่ทำสืบต่อกันมา
โดยไม่เคยวิเคราะห์และไม่คิดอยากจะวิเคราะห์หาเหตุผลใด ๆ ให้เสียเวลา เพียงตอบโจทย์การทำ
ความดีตามคำสั่งสอน "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" เท่านั้น อนิจจา...นานเท่าใดที่ฉันตกอยู่ในหลุมแห่งความ
มืดบอดที่พยายามจะตะกายไปสู่สรวงสวรรค์อันสว่างไสวด้วยการหมั่นเพียรพยายามทำความดีในคราบ
ของคนบาป แต่ความดีมากขนาดไหนหนอจึงจะไต่สู่สวรรค์ดังกล่าวได้

แต่ในใจของท่านจงเคารพนับถือพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ
เพื่อท่านจะได้ตอบทุกคนที่ถามท่านว่า ท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่จงตอบด้วยใจ
สุภาพและด้วยความนับถือ (1 เปโตร 3:15)

ข้าแต่พระบิดาเจ้า ขอบคุณพระองค์ผู้ทรงทอดสะพานบันไดแห่งความเชื่อให้ลูกได้วางใจในพระองค์
และดำเนินรอยตาม พระวจนะของพระองค์ ขอบคุณพระองค์ที่ส่งพระบุตรลงมาช่วยเหลือคนบาป
อย่างลูกโดยได้ตอบโจทย์ความเชื่ออย่างสมบูรณ์แบบที่สุด

วลัยพรรณ ลิทเทอร์

ความหวังของฉันอยู่ที่ไหน?
เยเรมีย์ 29:11

พระยาห์เวห์ตรัสว่า ‘เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับพวกเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่
เพิ่อทำร้ายเจ้า เพิ่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า

คุณเคยตั้งคำถามกับตัวเองมั้ย ว่า “ทำไมฉันยังทุกข์อยู่ ? ความเจ็บปวดนี้จะจบลงเมื่อไหร่?
เมื่อไรเรื่องยุ่งๆจะจบลงสักที ? เมื่อไรฉันจะรวย ? เมิ่อไรฉันจะประสบความสำเร็จ ?
ความหวังของฉันอยู่ที่ไหน ?

เราคาดหวังว่าชีวิตควรจะมีแต่ความสุข ปราศจากความทุกข์ยากและเจ็บปวด แต่พระคัมภีร์ไม่ได้
สอนอย่างนั้น สำหรับผู้เชื่อ โลกนี้คือสถานที่สำหรับการพัฒนาจิตวิญญาณผ่านทั้งช่วงเวลาที่ดีและร้าย
พระเจ้าไม่ได้สัญญาว่าจะให้เราร่ำรวย มีสุขภาพสมบูรณ์ หรือมีชีวิตที่ปราศจากปัญหาแต่พระองค์
สัญญาว่าจะอยู่กับเราในยามทุกข์ยากและจะปรับปรุงเราให้ มั่นคงมีกำลังขึ้นเพื่อเราจะชื่นชมยินดี
กับพระองค์ชั่วนิรันดร์ในสวรรค์ พระเจ้าทรงใช้ความยากลำบากนี้เพื่อจะฝึกฝนเรา สร้างชีวิตเรา
ขึ้นมาใหม่ในพระคริสต์ เพื่อให้เข้าไปสู่แผนงานอันดีของพระองค์ที่ได้เตรียมไว้ให้แต่ละคน

การวางความหวังไว้กับความปรวนแปรไม่แน่นอนทางโลกมักทำให้เราพบกับความผิดหวังเสมอ
คริสเตียนควรวางความหวังไว้ในพระเจ้า เพราะพระองค์มีแผนการที่ดีให้กับเรา เป็นแผนการที่ไม่มีใคร
จะหยุดหรือขัดขวางได้ สิ่งเหล่านี้จะต้องเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์

พระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้ในพวกท่านแล้ว จะทรงกระทำให้สำเร็จจนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์
[ ฟีลิปปี 1:6 ]

อย่ายอมแพ้! จงตั้งความหวังและรอคอยเวลาของพระเจ้าอย่างเข้มแข็งและกล้าหาญ และความหวัง
ของคุณจะไม่ผิดหวัง เพราะพระเจ้ามีแผนการที่ดีให้คุณสำหรับวันนี้ พรุ่งนี้ และชีวิตนิรันดร์...

อรอุมา ศฤงฆารนันท์

คำพิพากษา

"อย่าพิพากษา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงพิพากษาท่านทั้งหลาย" มัทธิว 7:2

การพิพากษา หรือการตัดสินผู้อื่นโดยผ่านมุมมองของตนเองเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่ถูกตัดสิน
ดังนั้นเราไม่ควรพิพากษาคนอื่นเพื่อเราจะไม่ได้รับการพิพากษาจากคนอื่นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อ
พระเจ้าจะไม่ทรงพิพากษาเรา

จริงอยู่ เราไม่มีเวลาที่จะไปทำความเข้าใจคนทุกคน แต่เราก็ไม่ควรที่จะด่วนตัดสินใครโดยใช้มุมมอง
ของตนเอง โดยปิดกั้นสถานการณ์ทั้งหมด ไม่เข้าใจ ไม่รับรู้สิ่งใดของเขา นอกจากความรู้สึกของเราที่มี
ต่อเขา เพราะจริง ๆ แล้วเราอาจจะเห็นเขาเพียงแค่บางส่วน ส่วนที่เรามองไม่เห็นอาจจะตรงข้ามกับสิ่งที่
เราเห็น ทุกคนมีมุมดี ๆ เสมอเพียงแต่เราปิดโอกาสในการทำความเข้าใจเขาเท่านั้น
เอิร์ล ไนติงเกล นักเขียนชาวอเมริกันกล่าวว่า เมื่อเราตัดสินคนอื่น เราไม่ได้นิยามพวกเขาแต่เรากำลัง
นิยามตัวเอง

"ทำไมท่านมองเห็นผงในตาพี่น้องของท่าน แต่กลับมองไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน"
มัทธิว 7:3

วลัยพรรณ ลิทเทอร์

น้ำแห่งชีวิตนิรันดร์

"แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็น
บ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์" ยอห์น 4:14

นอกจากพระเยซูคริสต์จะทรงมอบน้ำแห่งการหล่อเลี้ยงชีวิตทางร่างกายแล้ว พระองค์ยังทรงมอบน้ำ
แห่งชีวิตนิรันดร์ในการหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ อันเป็นของประทานที่มีค่าที่สุดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
ผู้ที่วางใจในเราตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า "แม่น้ำที่มีน้ำธำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น"
ยอห์น 7:38

ก่อนรับเชื่อชีวิตฉันกระหายการดื่มน้ำไม่สิ้นสุด เปรียบเหมือนฉันต้องการสิ่งต่าง ๆ มาสนอง
ความกระหายตลอดเวลา ความกระหายที่ไม่มีขอบเขตแห่งความพอดีทำให้ฉันเหนื่อยและมองไม่เห็น
สันติสุข มีเพียงเงาของความสุขผ่านชั่วคราวแล้วก็ดับไป เมื่อรับเชื่อและรับน้ำแห่งชีวิตนิรันดร์ฉันจึงได้
พบความสดชื่นเต็มหัวใจและสันติสุขอย่างแท้จริง

ในวันนี้ทุกคนสามารถรับน้ำแห่งชีวิตได้ เพราะพระเยซูเป็นแหล่งน้ำที่มีชีวิตเพียงต้อนรับพระเยซูแล้ว
จิตวิญญาณของท่านจะได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยน้ำแห่งชีวิตนิรันดร์

ขอบคุณพระเจ้า
วลัยพรรณ ลิทเทอร์

คุณกำลังรอคำตอบอธิษฐานจากพระเจ้าอยู่หรือไม่


และควันเครื่องหอมนั้นก็ลอยขึ้นไปพร้อมกับคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งหลาย จากมือทูตสวรรค์
สู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า (วิวรณ์ 8:4)


เมื่อสองปีที่แล้ว ลูกสาววัย 9 ขวบของฉันเฝ้าอธิษฐานในเรื่องเดิม ๆ อยู่ 3 เรื่อง
1. ขอให้มีเพื่อนย้ายมาอยู่ใกล้ ๆ
2. ขอให้ผ่านการสอบทุกวิชา
3. ขอให้ได้กลับเมืองไทย


ในเวลานั้น ฉันคิดว่านั่นเป็นเพียงคำอธิษฐานของเด็กเล็ก ๆ ซึ่งติดปากลูกสาวฉัน เธอมักจะพูดหรือ
ถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ อยู่เสมอ แล้วพระเจ้าได้ทรงสำแดงให้ฉันได้เข้าใจในน้ำพระทัยของพระองค์มากยิ่งขึ้น
ครอบครัวน้องในพระคริตส์ครอบครัวหนึ่งได้ย้ายมาอยู่ใกล้ ๆ ทำให้ลูกสาวไม่เหงาอีกต่อไป
ช่วงที่ผ่านมาพิษโควิดทำให้การเรียนของลูกสาวฉันตกลงมาก เพราะอยู่แต่หน้าคอมฯ เราอธิษฐาน
อย่างจริงจังด้วยกันทุกคืนให้พระเจ้าประทานสติปัญญาให้ลูกสาวได้สอบผ่านทุกวิชาเพื่อเลื่อนชั้นขึ้น
Grade 6 แล้วในที่สุด เธอก็ผ่าน คุณครูประจำชั้น e-mail มาชมอีกด้วยว่าภูมิใจในตัวลูกสาวของฉันมาก
เพราะผลการเรียนดีขึ้นมาก ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงใส่พระทัยแม้ในเรื่องเล็กน้อยของเด็กเล็ก ๆ
ส่วนคำอธิษฐานข้อ 3 การกลับเมืองไทย ส่วนตัวฉัน ไม่คิดว่าเราจำเป็นต้องกลับในเร็ววันนี้ เนื่องจากสภาพ
เศรษฐกิจการเงินในบ้าน อีกทั้งผลกระทบจากโควิดที่ระบาดไปทั่วโลกอีก แต่พระเจ้าทรงกระทำการ
ตามน้ำพระทัยและมีเวลาของพระองค์ ปีนี้ลูกสาวฉันได้ทำหนังสือเดินทางเตรียมไว้แล้ว และเราเอง
ก็ยังคงอธิษฐานต่อเนื่อง ขอให้ได้กลับเมืองไทย หากปีหน้าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า เราเชื่อว่าจะได้
กลับเมืองไทยอย่างแน่นอน


ฉันเรียนรู้ที่จะอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอและมั่นคง เรียนรู้ที่จะอดทนรอคอยคำตอบจากพระเจ้า
อย่างวางใจ ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หรือแม้เราจะหมดลมหายใจไปจากโลกนี้แล้ว
แต่คำอธิษฐานของเรายังคงลอยขึ้นเหมือนควันเครื่องหอมจากแท่นบูชาขึ้นสู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า
รอเวลาที่พระองค์จะโปรดให้คำอธิษฐานนั้นเกิดผล


“ริมฝีปากที่เอ่ยคำอธิษฐานอาจถูกปิดโดยความตาย หัวใจที่อธิษฐานอาจหยุดเต้น แต่คำอธิษฐาน

วันนี้คุณคิดอะไรอยู่ ?

“ สุดท้ายนี้พี่น้องทั้งหลาย ขอจงใคร่ครวญดูสิ่งเหล่านี้ คือ สิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่น่านับถือ
สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ควรแก่การสรรเสริญ รวมทั้งถ้ามีสิ่งใดที่ยอดเยี่ยม
สิ่งใดที่น่ายกย่อง” - ฟีลิปปี 4:8


ส่วนมากมนุษย์เราเมื่อมีเวลาว่างไม่ได้ทำอะไร ก็มักจะปล่อยความคิด และจะคิดสิ่งต่าง ๆ นานา เช่น
คิดโครงการวางอนาคต คิดถึงเรื่องเก่า ๆ และหลายครั้งที่เราจะคิดถึงคนที่เคยทำให้เราไม่พอใจและโกรธ
แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะผ่านไปเนิ่นนานแล้วซึ่งบางทีคน ๆ นั้นที่ทำให้เราโกรธ เขาอาจจะลืมเหตุการณ์นั้น
ไปแล้วก็ได้ แต่เราเองเลือกที่จะจดจำมันไว้จนกลายมาเป็นรากขมขื่น ทำให้ขาดสันติสุข และอาจส่งผล
ให้เราป่วยเป็นโรคซึมเศร้าโดยไม่รู้ตัว


พระธรรมฟิลิปปี 4:8 ได้เตือนให้เราใคร่ครวญถึงสิ่งเหล่านี้:-
- สิ่งที่เป็นจริง
- สิ่งที่น่านับถือ
- สิ่งที่ยุติธรรม
- สิ่งที่บริสุทธิ์

- สิ่งที่น่ารัก
- สิ่งที่ควรแก่การสรรเสริญ
- สิ่งที่ยอดเยี่ยม
- สิ่งที่น่ายกย่อง

พระเจ้าทรงสนพระทัยว่ามนุษย์คิดอะไรอยู่ เพราะความคิดจะนำไปสู่การกระทำ การดำเนินชีวิต
อย่างชอบธรรมขึ้นอยู่กับการคิดที่ถูกต้อง และพระเจ้าได้ทรงสัญญาว่าจะรักษาผู้ที่จิตใจจดจ่ออยู่กับ
พระองค์ให้อยู่ในความสงบ พระองค์จะทรงรักษาหัวใจของเรา จิตใจ อารมณ์ และความคิดของเรา
ขณะที่เรามุ่งอธิษฐานและสรรเสริญพระองค์ (“คนดีก็ย่อมเอาของดีออกจากคลังดีแห่งใจของตน
และคนชั่วก็ย่อมเอาของชั่วจากคลังชั่วแห่งใจของตนด้วยใจเต็มด้วยอะไรปากก็พูดออกมาอย่างนั้น”
- ลูกา 6:45)


พระคัมภีร์กล่าวถึง 8 สิ่งดีที่ช่วยให้เราจดจ่ออยู่กับความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา และการเสียสละของ
พระคริสต์เพื่อเรา ซึ่งเราควรคิดถึงอยู่เสมอจนเป็นนิสัย แล้วเราจึงจะมีกลิ่นหอมของพระคริสต์
ที่ฟุ้งกระจายออกมาจากชีวิตของเราได้

อรอุมา ศฤงฆารนันท์

เครื่องหอมที่พอพระทัย

เครื่องหอมที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
ในพระธรรม 1 เธสะโลนิกา 5:16-18


“จงชทานบานอยู่เสมอ จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัย
ของพระเจ้า ซึ่งปรากฏอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย” จากพระธรรม บทนี้ เราจะเห็นได้ว่า
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เรากระทำดังนี้..


1.จงชื่นบานอยู่เสมอ
ให้เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การกระทำ คำพูดของเราใหม่ ด้วยท่าทีที่เบิกบานแจ่มใสมีความชื่นชมยินดี
ในพระคุณความรักของพระเจ้า ที่ทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ แล้วยอมเปลี่ยนท่าทีปฏิบัติตนให้สอดคล้อง
ตามพระวจนะของพระเจ้า แล้วสันติสุขเกินความเข้าใจจะคุ้มครองชีวิตและจิตใจ (ฟิลิปปี 4:4)่


2.จงอธิษฐานสม่ำเสมอ
การอธิษฐานคือ ลมหายใจของผู้เชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ เป็นการพูดกับพระเจ้าทุกเรื่องราวที่เราอยากคุย
กับพระองค์ได้ตลอดเวลาไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร อยู่ในสถานการณ์ใดและการอธิษฐานที่พระเจ้า
ทรงพอพระทัยนั้น ต้องอธิษฐานด้วยใจถ่อม ด้วยความจริงจากใจ และด้วยความเชื่อมั่นในพระสัญญา
ของพระองค์ด้วย สุดใจ เมื่อเราวางใจในพระองค์ เราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า (ยอห์น 11:40)

3.จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี
นี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าให้รับพระคุณของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงประทาน...
-ความรัก
-ความรอด
-การอวยพร


เพียงเท่านี้ก็เป็นพระคุณซ้อนพระคุณมากมาย แต่พระเจ้าทรงทราบดีว่ามนุษย์มีความทุกข์ยากลำบาก
ท้อใจ สิ้นหวัง เหนื่อยหน่าย กลัว วิตกกังวล และเจ็บป่วย ซึ่งบั่นทอนจิตวิญญาณของเรา พระองค์จึง
สั่งเราให้ขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะทุกความทุกข์ยาก จะมีพระพรซ่อนอยู่ เพียงแค่เราเชื่อและวางใจ
การขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย จะเป็นเหมือนยาบำรุงจิตวิญญาณ และยังเป็น
วัคซีนป้องกันความสงสัยและความคิดต่าง ๆที่จะเข้ามา ทั้งยังเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับจิตวิญญาณ
ของเราด้วย


ท่าทีของเราจะปรับเปลี่ยนไปในทางที่สอดคล้องกับคำสั่งสอนของพระเจ้าได้ดีก็ต่อเมื่อเรายอมจำนน
ต่อพระองค์ทุกวิถีทาง

ปัญญาจารย์ 12:13-14
“จบเรื่องแล้ว ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละ

เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง ด้วยว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงาน ทุกประการเข้าสู่การพิพากษาพร้อม
ด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว”

คุณศุภวรรณ ณ หนองคาย


สิ่งใดที่ขัดขวางพระพรของพระเจ้า?

"แต่ว่าความบาปชั่วของเจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เกิดการแยกระหว่างเจ้ากับพระเจ้าของเจ้า. และบาป
ของเจ้าทั้งหลายได้บังพระพักตร์ของพระองค์เสียจากเจ้า พระองค์จึงทรงมิได้ยิน" อิสยาห์ 59:2
บางครั้งเราเคยสงสัยไหมว่า สิ่งใดเป็นตัวขัดขวางพระพรของพระเจ้า ทำไมพระองค์จึงยังไม่เทพระพร
มายังเรา


ทำไมพระองค์จึงยังไม่ตอบคำอธิษฐาน ทั้งที่เราคิดว่าเราทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราอาจจะลืมคือ
พระเจ้าจะไม่เข้าใกล้คนที่ปกปิดความผิดบาปของตน บางครั้งเราคิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แต่เราไม่สามารถ
เอาความดีนั้นไปลบล้างความผิดบาปบางอย่างได้ การสารภาพบาปจึงเป็นสิ่งสำคัญ.


"ถ้าข้าพเจ้าได้บ่มความชั่วไว้ในใจข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าคงไม่สดับ" เพลงสดุดี 66:18


ก่อนหน้านี้ฉันก็พยายามให้อภัยคนที่ฉันไม่ชอบโดยพยายามหาเหตุผลแก้ตัวแทนเขา แต่ก็ทำได้เพียงแค่
ระยะเวลาสั้นๆ เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เขาทำให้ฉันโกรธ อารมณ์ไม่ดีต่อคนนั้นก็กลับมาอีก ฉันรู้ดีว่า
พระเจ้าทรงยกโทษความผิดบาปให้ฉัน ยิ่งฉันได้อ่านข้อพระคัมภีร์และติดสนิทกับพระองค์ทำให้ฉัน
ลบเลือนความโกรธต่อคนนั้นได้ง่ายขึ้น


"ข้าพระองค์สารภาพบาปของข้าพระองค์ต่อพระองค์ และข้าพระองค์มิได้ซ่อนบาปผิดของข้าพระองค์ไว้"
สดุดี 32:5


พระเจ้ารอคอยให้เราสารภาพผิดบาปกับพระองค์ "ถ้าหากว่า พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม
ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น" 1ยน.1:9


ขอบคุณพระองค์ที่ทรงยกความผิดบาปของฉันและโปรดฟังคำอธิษฐานของฉัน ตอบคำอธิษฐานและ
เทพระพรมายังฉันโดยอย่าให้ความบาปของฉันมาเป็นอุปสรรคในการรับพระพรจากพระองค์เลย


ขอบคุณในนามพระเยซูคริสต์เจ้า เอเมน

วลัยพรรณ ลิทเทอร์

วาจานั้นสำคัญไฉน?


"ความตายความเป็นอยู่ที่อำนาจของลิ้น. และบรรดาผู้ที่รักมันก็จะกินผลของมัน" สุภาษิต 18:21


จากข้อพระคัมภีร์นี้ชี้ให้เห็นว่า พระเจ้าทรงสอนให้เราพูดด้วยความระมัดระวัง เพราะคำพูดทุกคำล้วนมีผล
ทั้งทางบวกและทางลบต่อตัวผู้พูดเองและต่อบุคคลรอบข้าง ทำอย่างไรเราจึงจะบังคับตนเองให้พูดในสิ่ง
ที่สมควรพูด. ไม่พูดเพ้อเจ้อ โกหก หยาบคาย ไม่นินทาและพูดส่อเสียดกล่าวร้ายผู้อื่น แต่จะพูดในสิ่งที่
พระเจ้าทรงพอพระทัย มีสาเหตุหลายอย่างที่ทำให้คนเราไม่สามารถเข้าใจกันด้วยคำพูดที่ออกมาด้วย
ปริมาณจากอารมณ์โดยไม่มีคุณภาพและจุดประสงค์ที่ดีในการพูด


หลายครั้งที่การสื่อสารของฉันกับเพื่อนร่วมงานไม่ได้สละสลวยเพราะคำพูดทีออกมาขณะเหนื่อยและ
กดดันด้วยความเครียด จึงไม่ใช่คำพูดที่เสริมสร้างแต่เป็นการทำลายทั้งความรู้สึกและสัมพันธไมตรีที่ดี
ต่อกัน แต่เมื่อเรานึกถึงคำสอนของพระเจ้า การหยุดคำพูดที่ไม่ดีจึงเกิดขึ้น เพราะพระวจนะของพระองค์
คือความจริงแท้ที่ไม่มีสิ่งใดมาหักล้างได้เลย


"บุคคลที่รักษาปากและลิ้นของตนก็รักษาตัวเขาเองให้พ้นความลำบาก" สุภาษิต 21:23


"บุคคลผู้เที่ยวซุบซิบก็เผยความลับให้กระจาย ฉะนั้นอย่าเข้าสังคมกับคนปากบอน" สุภาษิต 20:19


นอกจากนี้ท่านอัครสาวกยากอบยังได้กล่าวว่า
" ลิ้นก็เช่นเดียวกัน เป็นอวัยวะเล็กๆ แต่คุยอวดในเรื่องใหญ่โต" ยากอบ 3:5


ข้าแต่พระบิดาเจ้า. ขอบคุณพระองค์ที่ทรงขัดเกลาลูกให้ระมัดระวังวาจาเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์
ในเรื่องการพูด


Walaiphan Lichter

ความรักนั้นต้องอดทนนาน…นานเท่าไร?


1 โครินธ์ 13:4-8


4ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5ไม่หยาบคาย
ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด 6ไม่ช

สำแดงชีวิต ของผู้ติดตามพระคริสต์


2 ทิโมธี 3:16-17


“พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว
การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำ
การดีทุกอย่าง” จากพระธรรมตอนนี้เราได้พิจารณาดูว่าเป็น การสอน ,การเตือนสติ,นำมาแก้ไขและ
ฝึกฝนในทางที่ดีและเป็นพื้นฐานในการทำการดีทุกอย่างเพื่อ สำแดงชีวิต ของผู้ติดตามพระคริสต์


(ศึกษา) ให้เข้าใจ
(ท่องจำ) จำให้ขึ้นใจ
(ใคร่ครวญ) ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน
(เชื่อฟัง) นำมาใช้้ 

โดยนำพระคำของพระเจ้ามาใช้ด้วยการสำแดงชีวิตของผู้เชื่อให้สอดคล้อง

กับความจริงที่ได้เรียนรู้เพื่อนำไปหนุนใจผู้อื่นต่อไป เพราะในพระคัมภีร์ทุกบททุกตอนล้วนแต่มี
คำสั่ง,คำสอน,คำสัญญา ของพระเจ้าเสมอตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงวิวรณ์เมื่อชีวิตของเรา เชื่อฟังและ
รับการเปลี่ยนแปลง


(2โครินธ์5:17)


“เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะ
กลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” การเดินตามน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้วผลของการเชื่อฟังจึงเป็นกลิ่นหอม
ที่พอพระทัย


(สดุดี 119:11-12)


“ข้าพระองค์ได้เก็บรักษาพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์
ข้าแต่พระยาห์เวห์ สาธุการแด่พระองค์ ขอทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์”
เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้อื่นได้แต่
พระวจนะของพระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลง
ทั้งเราและผู้อื่นได้


คุณศุภวรรณ ณ หนองคาย

คุณคิดว่าความสุขกับสันติสุขแตกต่างกันอย่างไร?

“มีเพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่มอบสันติสุขที่แท้จริงแก่เรา”

ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนปราถนา แต่สิ่งที่ได้รับนั้นเป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่เกิดจากความพึงพอใจ
เป็นความรู้สึกสนุกสนานชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อเราสูญเสียหรือได้รับสิ่งที่ไม่พอใจ ไม่ตอบสนองความ
ต้องการของเรา อารมณ์นั้นก็จะเปลี่ยนไปในทางตรงข้ามทันที

ดังนั้น ความสุขจึงเป็นเพียงสิ่งฉาบฉวยไม่จีรังยั่งยืน พร้อมที่จะสูญสลายไปได้ทุกเมื่อ เปลี่ยนไปตาม
สภาพแวดล้อม และการตอบสนองความต้องการด้านเนื้อหนังที่วิ่งมาหาเราไม่จบไม่สิ้นส่วนสันติสุขคือความสุขที่ล้ำลึก
มั่นคงถาวร แม้ในยามยากลำบากก็มีใจสงบ เป็นสิ่งมีค่าที่ทุกคนถวิลหาและสิ่งนี้มีเพียงพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น
ที่สามารถมอบให้แก่เราได้

"เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย. สันติสุขที่เราให้แก่ท่านนั้นไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก
และอย่ากลัวเลย"

ยอห์น 14:27

อย่าลืมว่าพระเยซูคริสต์เจ้า พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่กว่าปัญหาทั้งปวง ดังนั้นในทุกขณะของการมีชีวิต
ถ้าเรายึดถือพระเจ้าเป็นแสงสว่างนำทาง เราจะไม่มีวันท้อ ไม่มีวันเหนื่อย และไม่วิตกกังวลใดๆ เพราะ
พระเจ้าทรงเป็นกำลังให้เราก้าวเดินตามพระองค์ เพื่อเราจะได้รับสันติสุขอย่างแท้จริง

ขอพระเจ้าอวยพร
คุณวลัยพรรณ ลิทเทอร์

คุณเคยรู้สึกประทับใจในการกระทำเล็กๆของใครบางคนหรือไม่


ในโลกนี้มีกลิ่นหอมมากมาย กลิ่นต้นสนและอบเชยในช่วงคริสต์มาส กลิ่นกาแฟในยามเช้า กลิ่นนมเนย
ในร้านเบเกอร์รี่ กลิ่นดินช่วงฝนตก ฉันเคยคิดเล่นๆ ถ้ามีใครสามารถเก็บกลิ่นดินและฝนได้ ฉันจะซื้อมัน!
กลิ่น สองสิ่งที่ฉันโปรดปรานบนโลกใบนี้ รวมกันเป็นกลิ่นที่วิเศษ มันเป็นกลิ่นที่นำความทรงจำในวัยเด็ก
สำหรับฉัน เช่นเดียวกับการดำเนินชิวิตของคริสเตียนเมื่อรวมกับการทรงสถิตของพระคริสต์ ทำให้เกิดก
ลิ่นหอมอันน่าพิศวงในโลกนี้

เมื่อ 5 ปี ก่อน ที่ฉันยังไม่ได้ถวายตัวรับใช้ในโบสถ์เป็นเพียงสมาชิกที่เข้าไปร่วมนมัสการเท่านั้น
และไม่เคยสนใจที่จะสามัคคีธรรมกับใครในโบสถ์เลย ค่ำคืนวันหนึ่งมีพี่สาวในพระคริสต์ นำมะม่วงที่
ปลอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นอย่างน่ารับประทานมากใส่กล่องมาให้ฉันที่ทำงาน การกระทำของพี่สาวคนนี้
สะดุดใจและเปลี่ยนชีวิตการเป็นคริสเตียนของฉันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จากที่เป็นเพียงสมาชิก
กลายเป็นผู้รับใช้อย่างจริงจัง ออกจากงานร้านอาหารมาทำธุรกิจส่วนตัวเพื่อที่จะมีเวลารับใช้ในโบสถ์
มากขึ้น การสำแดงของพี่สาวคนนั้น เปิดตาใจของฉันให้สัมผัสถึงการทรงสถิตของพระเจ้าที่มากับเธอ
และเปลี่ยนวิถีชีวิตของฉันโดยสิ้นเชิง


สุภาษิต 27:9 น้ำมันและเครื่องหอมทำให้ใจยินดี และความอ่อนหวานของเพื่อนมาจากคำแนะนำที่จริงใจ
บางครั้งการสำแดงความรักของเราโดยไม่ได้ตั้งใจก็สามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้คนที่เราพบ
พวกเขาอาจไม่รู้จักพระคริสต์ แต่พวกเขาได้รับผลกระทบจากการมีอยู่ของพระคริสต์
เราสามารถมีกลิ่นเหมือนพระคริสต์ เป็นกลิ่นหอมที่โลกสังเกตเห็น เพราะโลกใบนี้ต้องการกลิ่นหอม
ของพระคริสต์


ขอพระเจ้าอวยพร
คุณอรอุมา ศฤงฆารนันท์

ชีวิตที่เป็นกลิ่นหอมของพระคริสต์ ?


เพื่อให้พระเจ้าทรงพอพระทัยและเป็นพยานชีวิตที่ดีต่อสังคม
การนมัสการ การขอบพระคุณ เป็นพยาน ถ้าเราไม่ดำเนินชีวิตที่เป็นที่พอพระทัยแล้ว เราจะเป็น
กลิ่นหอมที่มีชีวิตของพระคริสต์ได้อย่างไร?


อาจารย์เปาโลได้หนุนใจเรา จากพระธรรมโรม 12:1-2


“ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้
ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการ
เปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า
จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม”


เมื่อเราบริโภคพระคำของพระเจ้า
และนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา
เราจึงมีกลิ่นหอมที่พระเจ้าพอพระทัย


“มนุษย์จะบำรุงร่างกายด้วยอาหารอย่างเดียวก็หามิได้แต่มนุษย์จะต้องบำรุงด้วยพระวจนะซึ่งออกมาจาก
พระโอษฐ์ทุกคำ” (มัทธิว 4:4)


พระเยซูทรงช่วยกู้เราจากบึงไฟนรก โดยสละพระองค์เอง ถูกตรึงบนกางเขนจนถึงความมรณา (เป็นความ
เมตตากรุณา) พระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นใหม่เพื่อนมัสการพระองค์ และรับใช้ (ถวายตัว) ด้วยจิตวิญญาณ
และความจริง เมื่อเราเข้าใกล้พระองค์มากขึ้น เราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงและเป็นคนใหม่ เพื่อให้ชีวิต
เราบริสุทธิ์ในสาย พระเนตรพระเจ้า


เมื่อห่างจากความบาปทั้งหลายทั้งปวง เราจึงจะทราบดีว่าการดำเนินชีวิตของเราที่ดีและถูกต้องตาม
น้ำพระทัย เป็นที่พอพระทัยพระองค์ แล้วชีวิตของเราได้รับการอวยพร และพระองค์ทรงเทพระพรมา
เหนือเราผู้เป็นสาวกแท้ของพระองค์ เป็นเครื่องหอมบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์


เมื่อเราดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว เราก็เป็นกลิ่นหอมที่จะดึงดูดให้ผู้อื่นอยากเดิน
ตามพระเยซู


คุณศุภวรรณ ณ หนองคาย

มีความทรงจำในวัยเด็ก หรือบุคคลใดที่คุณเชื่อมโยงกับกลิ่นหอมบางอย่างหรือไม่?


สำหรับฉัน คือกลิ่นดินตอนที่สายฝนกำลังโปรยปรายลงมา ทุกครั้งที่ได้กลิ่นดินนี้ ความสุข ความสนุก
ในวัยเด็กจะหวนกลับมา สายฝนนำความชุ่มชื่นเย็นฉ่ำ พอตกหนักเข้าน้ำก็เริ่มเอ่อ กุ้ง หอย ปู ปลา
ลอยมาตามสายน้ำทำให้เราได้ไล่จับมาเป็นอาหาร ท่ามกลางสายฝนที่เย็น


ฉันขอขอบคุณพระเจ้าทุกครั้งที่ได้กลิ่นดินในขณะที่ฝนตก ขอบคุณพระองค์ที่ให้มนุษย์มีสัมผัสทั้งห้า
เพื่อให้เราได้ชื่นชมสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง


จะเป็นการดีแค่ไหน หากชีวิตของเราจะเป็นกลิ่นหอมของพระคริสต์ เพื่อให้คนรอบข้างได้กลิ่น หรือจำกลิ่น
จากการดำเนินชีวิตของเราได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อใดก็ตามที่คำพูดหรือการกระทำของเรา ทำให้ผู้อื่น
ประสบกับความรักของพระเยซู มองเห็นพระคริสต์ในเรา นั่นก็คือ เราได้ปล่อยกลิ่นหอมของพระคริสต์
ออกมา จะเป็นที่น่าชื่นชมใจเพียงใด หากคนรอบข้างได้กลิ่นหอมนั้น และเขาต้องการอยากจะมีกลิ่นหอม
แบบนั้นเช่นเดียวกับเรา ใน 2 โครินธ์ 2:14-15 บอกเราว่า ในฐานะคริสเตียนเราควรจะมีกลิ่นหอม
เฉพาะตัว นั่นคือกลิ่นหอมของพระคริสต์


ข้าแต่พระบิดา ขอให้กลิ่นหอมหวานของพระคริสต์ที่อยู่ในชีวิตของผู้เชื่อทุกๆคน ได้ฟุ้งกระจายขยายออกไป
ขอให้ผู้ที่สำผัสกลิ่นนั้น ได้เข้ามารู้จักพระนามของพระเยซู รู้จักความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้า


รู้จักความหวังและชีวิตนิรันดร์ เอเมน

อรอุมา คฤงฆารนันท์

อภัยซึ่งกันและกัน


คำว่า "อภัยซึ่งกันและกัน" ช่างเป็นความหมายที่แสนอบอุ่น แฝงด้วยความรักความเอื้ออาทรณ์ และ
ความสมบูรณ์แบบอย่างไรไม่รู้ ......แต่มันก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ในความรู้สึกอย่างเรา...... แล้วทำไมเรา
จึงไม่ให้อภัยต่อคนที่ดูไม่น่ารักต่อเรา (ทำร้ายเรา) มีหลายเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องจัดการกับความรู้สึก
ตัวเอง


- เพราะการให้อภัยคือคุณลักษณะของคนเข้มแข็ง
- เพราะการให้อภัยคือการทำให้ความรู้สึกแย่ที่เรามีต่อเขาเบาบางลง (ไม่ใช่ทำให้เขาคนนั้นดีขึ้นจาก
การกระทำผิด)
- เพราะช่วงเวลาของการไม่ให้อภัยคือความเจ็บปวด (ของเราเอง)
- เพราะเม

กลิ่นหอมของพระคริสต์เป็นเช่นไร ?


“กลิ่น” คือ สิ่งที่ทำให้เรารับรู้ความทรงจำและความรู้สึกถึงความหอมหรือความไม่หอม อาจจะเป็นกลิ่น
ที่เราคุ้นเคย ระลึกถึงวันเวลาที่ผ่านมา เป็นกลิ่นไอแห่งความคิดถึง


สำหรับ “กลิ่นหอมของพระคริสต์” เป็นกลิ่มหอมหวานที่พระคริสต์ทรงนำมาสู่เรา “เพราะเราเป็น
กลิ่นหอมหวานที่พระคริสต์ถวายพระเจ้า” (2 โครินธ์ 2:15) และกลิ่นหอมแห่งพระคุณนี้ จึงทำให้เรา
ระลึกถึงการช่วยกู้เราให้รอด เราจึงนับพระคุณที่พระองค์ทรงทำกิจในชีวิตเรา

“ให้เราดำเนินชีวิตในความรักเหมือนพระคริสต์ทรงรักเราทั้งหลายและประทานพระองค์เอง
เพื่อเราเหมือนของถวายอันมีกลิ่นหอมและเครื่องบูชาแด่พระเจ้า” (เอเฟซัส 5:2)

เมื่อเราดำเนินชีวิตตามพระคริสต์ ให้กลิ่นหอมนำคนมาถึงพระเจ้า


“ผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่า ๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ กลายเป็น
สิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 โครินธ์ 5:17)


คุณศุภวรรณ ณ หนองคาย

เราเป็นกลิ่นหอมหวานที่พระคริสต์ถวายแด่พระเจ้าซึ่งเป็นกลิ่นที่พระเจ้าทรงพอพระทัย

กลิ่นหอมนี้ได้มาจากชัยชนะของพระเยซูคริสต์ต่อความตาย พระองค์ทรงนำเอาความบาปของมนุษย์
ซึ่งเป็นกลิ่นเหม็นไปทำลายบนไม้กางเขนและถูกฝังอยู่ในแผ่นดิน 3 วัน ในวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นมา
มีชีวิต ทรงชนะความตาย และจะไม่ตายอีก กลิ่นเหม็นแห่งความตาย ได้ถูกขจัดออกไปแล้ว พระองค์
จึงมีกลิ่นหอมหวาน

(2 โครินธ์ 2:14-16)

พระเยซูตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ว่า เราชนะความตาย (ยอห์น 16:33) เพราะความบาปซึ่งมี
กลิ่นเหม็นที่นำความตายมาให้นั้นได้ถูกขจัดไปแล้วโดยพระเยซู ดังนั้นผู้ที่เชื่อ ในพระองค์จึงได้รับการชำระ
เราจงเป็นกลิ่นหอมของพระคริสต์

ขอให้วิถีชีวิตของคริสเตียนจงเป็นกลิ่นหอมอันชื่นใจเป็นที่พอพระทัยแด่พระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพร

ศบ. อนุกุล แสงสุพรรณ

เราเป็นกลิ่นอันหอมหวาน ที่พระคริสต์ถวายพระเจ้า


- 2 โครินธ์ 2:15

ห้องนี้ คือ platform สำหรับ ลงบทความ คำถาม - ตอบ ที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณกับการดำเนินชีวิต
ในแต่ละวันในฐานะผู้เชื่อ เราควรมีความรู้และความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าที่พระองค์ทรงสำแดง
ผ่านพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์เผื่อให้เป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอพระทัย
ของพระเจ้า

ใน 1 เปโตร 4:11 เปโตร เขียนไว้ว่า “ถ้าใครจะพูด ก็ให้พูดดังเช่นพูดพระวจนะของพระเจ้า
ถ้าใครจะปรนนิบัติ ก็จงปรนนิบัติดังเช่นทำด้วยกำลังซึ่งพระเจ้าประทาน เพื่อพระเจ้าจะได้รับพระเกียรติ
ในทุกสิ่งทางพระเยซูคริสต์ขอพระสิริและอานุภาพจงมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ "

ขอเชิญพี่น้องเข้ามาร่วมติดตามอ่านบทความอาหารฝ่ายจิตวิญญาณกับเราได้ เพื่อเราจะเป็นกลิ่นหอม
ของพระคริสต์ที่จะฟุ้งกระจายไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก

“แมลงวันตาย ย่อมทำให้น้ำมันที่มีกลิ่นหอมบูดเหม็นไป ความเขลานิดหน่อย ก็หนักกว่าสติปัญญา
และเกียรติยศ”

-ปัญญาจารย์ 10:1

ขอพระเจ้าอวยพร